Parents One

NEWS: ช่วงนี้ระวัง เที่ยวทะเลเจอแมงกะพรุนพิษ หากโดนพิษให้รีบราดน้ำส้มสายชู

หลายๆ ครอบครัวอาจมีการแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวทะเลกัน แต่ก็ระวังกันนิดนึงนะคะ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว จะทำให้พบแมงกะพรุนได้ง่ายทั้งมีพิษและไม่มีพิษค่ะ

นายแพทย์อัษฏางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เมื่อเที่ยวทะเลในช่วงมรสุมและฝนตกอาจเจอแมงกะพรุนที่ถูกคลื่นซัดเข้ามาชายหาดได้ ซึ่งมีทั้งแบบมีพิษและไม่มีพิษ และมีการพบแมงกะพรุนมากขึ้นในช่วงมีมรสุมของปี รวมถึงช่วงฝนตกหรือหลังฝนหยุดใหม่ๆ

โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานพบผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากแมงกะพรุนพิษ (Jellyfish-related injury) ซึ่งพบได้ในหลายจังหวัดชายฝั่งทะเลทั้งอ่าวไทยและอันดามัน  ในช่วงฤดูฝนนี้จึงขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

สำหรับแมงกะพรุนที่เป็นอันตรายและมีพิษรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตคือ แมงกะพรุนกล่อง ซึ่งมีลักษณะโปร่งใส รูปร่างทรงสี่เหลี่ยม มีหนวดยื่นออกมาในแต่ละมุม และหนวดอาจยาวเท่ากับความสูงของคน ซึ่งกระเปาะพิษจะอยู่ที่สายหนวด หนึ่งตัวอาจมีกระเปาะพิษถึงล้านถุง ทำให้แมงกะพรุนกล่องจัดเป็นสัตว์ทะเลที่มีพิษร้ายแรงที่สุด

พิษของแมงกะพรุนกล่องมี 3 แบบ คือ 1.ทำให้เซลล์ผิวหนังตาย 2.มีอาการปวดรุนแรง และ 3.หากได้รับพิษในปริมาณมาก และพิษเข้าสู่กระแสเลือดและจะเข้าสู่หัวใจ ทำให้หัวใจหยุดเต้นและระบบหายใจล้มเหลว อาจเสียชีวิตได้ภายใน 2-10 นาที

การป้องกันแมงกะพรุนพิษในช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ทำได้โดย เลือกเล่นน้ำแถวชายหาดในวันที่คลื่นลมสงบ อากาศแจ่มใส ควรสวมเสื้อผ้าที่เป็น Lycra suit หรือเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวซึ่งควรเป็นผ้าที่มีเนื้อแน่นและแนบลำตัว หากสงสัยว่าถูกพิษแมงกะพรุนให้ปฐมพยาบาลตามขั้นตอนเพื่อให้ผู้ป่วยพ้นวิกฤตก่อน ดังนี้

1.นำผู้บาดเจ็บขึ้นจากน้ำ

2.เรียกให้คนช่วยหรือเรียกรถพยาบาล (โทร 1669) แต่ห้ามทิ้งให้ผู้บาดเจ็บอยู่ตามลำพัง เพราะอาจหมดสติภายในเวลาไม่กี่นาที

3.ให้ผู้บาดเจ็บอยู่นิ่งๆ เพื่อลดการยิงพิษจากแมงกะพรุน

4.ราดน้ำส้มสายชูที่ใช้กันตามครัวเรือน ตรงบริเวณที่สัมผัสแมงกะพรุนพิษทันที โดยราดอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยนาน 30 วินาที

***ห้ามขัดถูหรือขยี้ รวมถึงห้ามราดน้ำจืด  น้ำปัสสาวะ และแอลกอฮอล์บริเวณที่ถูกแมงกะพรุน เพราะจะทำให้มีการยิงพิษเพิ่มขึ้น

5.ถ้าผู้ป่วยหมดสติและไม่มีชีพจร ให้ปั๊มหัวใจก่อน

อ้างอิงจาก

https://ddc.moph.go.th/th/site/newsview/view/8885