Parents One

NEWS: ผลวิจัยชี้การทำโทษด้วยการตบตีส่งผลให้เด็กใช้ความรุนแรงในอนาคต

เคยทำโทษลูกด้วยการตีไหมคะ? อย่างที่สุภาษิตของไทยบอกว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” มีผลการวิจัยของกรอกัน เคย์เลอร์ และเอลิซาเบ็ธ แกร์ชอฟฟ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสตินในรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ออกมาค่ะ ว่าการทำโทษด้วยการตีจะทำให้ลูกมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงเมื่อโตขึ้น

โดยมีการสุ่มสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 160,927 คน พบว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่าการทำโทษเด็กด้วยการตบตีทำให้เด็กมีผลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้จริง แต่กลับพบว่าการใช้กำลังทางกายภาพกับเด็กเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่า เนื่องจากเด็กที่ถูกทำโทษด้วยการตบตีเป็นประจำมีแนวโน้มจะก้าวร้าว มีปัญหาทางจิต และใช้กำลังกับผู้อื่นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

จากคำสัมภาษณ์ของ คลอเดีย แคปปา นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญขององค์การยูนิเซฟ พบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2-4 ปี รวมกว่า 300 ล้านคนในประเทศต่างๆ มักถูกทำโทษเพื่อสั่งสอนเรื่องความประพฤติและเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

รายงานของยูนิเซฟระบุว่าการทำโทษเด็กเป็นการใช้กำลังทางกายภาพ มีทั้งการตบหรือตีตามร่างกายส่วนต่างๆ ของเด็ก การใช้ไม้เรียวหรืออุปกรณ์อื่นๆ ฟาดหรือเฆี่ยน รวมถึงการเขย่าตัวหรือหยิก ซึ่งผู้ปกครองบางส่วนอาจใช้หลายวิธี ควบคู่ไปกับการอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบไหนที่ทำให้เด็กต้องถูกทำโทษ

อย่างไรก็ตาม กระแสต่อต้านการทำโทษเด็กด้วยวิธีตบตีเริ่มขยายวงกว้างในหลายประเทศทั่วโลกเช่นกัน หลังมีรายงานบ่งชี้ว่าการทำโทษเด็กด้วยการตบตี ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของเด็ก และทำให้เด็กมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นเมื่อเติบโตขึ้น

ดังนั้นตอนนี้กว่า 60 ประเทศทั่วโลก มีกฎหมายห้ามตบตีเด็ก แต่แคปปาระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ช่วยให้การตบตีเด็กลดลงมากนัก เพราะประเทศต่างๆ ยังมีค่านิยมว่าผู้ปกครองหรือครูอาจารย์มีสิทธิทำโทษเด็กเพื่อให้เกิดระเบียบวินัย

อ้างอิงจาก

voicetv.co.th/read/ry1jHe0tf