เนื่องจากในสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ที่มีแนวโน้มว่าจะยังไม่หมดไปง่ายๆ แต่การเรียนการสอนยังคงต้องดำเนินต่อไปด้วยการปรับตัวเป็น “การเรียนออนไลน์” ทั้งเทอม ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ ตัวเด็กนักเรียนเอง
จากการสำรวจนักเรียนในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ปี 2563 ตั้งแต่ ป.2 – ป.6 จำนวน 2,330 คน พบว่านักเรียน 40% เครียดและวิตกกังวล ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยที่ล่าสุด พบข้อมูลนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากเครียดจากการเรียนออนไลน์ ไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดความทุกข์ใจ และสุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด
เพราะการเรียนออนไลน์ไม่ได้เหมาะสมกับนักเรียนทุกกลุ่ม บางคนขาดอุปกรณ์ บางบ้านไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต กระทบถึงผู้ปกครองที่ต้องหาอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ลูก ทั้งที่ก็จ่ายเงินเพื่อส่งลูกไปเรียนหนังสือแล้วนั่นเอง หรือจะเป็นปัญหาที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้าน นักเรียนจึงต้องอยู่กับแท็บเล็ตโดยไม่มีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด
จากงานวิจัยเรื่องผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ครอบครัวในประเทศเอเชียและยุโรปของมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่า 40 % ของผู้ปกครองรู้สึกเครียดจากการที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ 25 % ให้ข้อมูลว่า บ้านมีอุปกรณ์หรือสภาพไม่พร้อม
ขณะที่ผลสำรวจของ Washington Post พบว่าเด็กเครียด ก้าวร้าว เบื่ออาหาร ปวดหลัง มีปัญหาเจ็บตาหรือตาอ่อนล้า จึงทำให้นักเรียนจำนวนมากถอดใจออกจากโรงเรียนกลางคัน ขณะที่ระดับมหาวิทยาลัยหลายรายขอดร็อปเอาท์
ศธ.และสถานศึกษา จึงได้คำนึงถึงการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบที่ใช้ครอบครัวและผู้เรียนเป็นฐาน รูปแบบการจัดการศึกษาการจัดการเรียนการสอนจึงต้องมีความหลากหลายตามความต้องการจำเป็น และเหมาะสมกับบริบทของครอบครัวสภาพพื้นที่สภาพเศรษฐกิจ
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องจัดการเวลาชีวิตของครอบครัวตัวเองให้ดี รวมทั้งเเบ่งเวลามาดูแลลูกๆ คอยถามไถ่เรื่องการเรียน และเผป็นที่ปรึกษาที่ดี เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความเครียดกันด้วยนะคะ
ขอบคุณแหล่งอ้างอิง : www.khaosod.co.th