Parents One

NEWS: ช่วงนี้ต้องระวัง เด็กป่วยไข้เลือดออก คาดว่าปีนี้กลับมาระบาดหนัก 

ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงลาย โดยผู้ที่ป่วยจะมีอาการมีไข้สูงอย่างเฉียบพลัน และไข้จะสูงตลอดทั้งวันประมาณ 2-7 วัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนใหญ่มีอาการหน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็กๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและเบื่ออาหาร ต่อมาไข้จะลดลง ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะอาจเกิดอาการรุนแรงอาจมีภาวะช็อคและเสียชีวิตได้ 

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ช่วงนี้นอกจากโรคโควิด 19 ที่ประชาชนต้องระวังแล้ว ยังควรระวังโรคไข้เลือดออกอีกโรคหนึ่งด้วย เนื่องจากการคาดการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2565 นี้  คาดว่าจะกลับมาระบาดอีกครั้ง หลังจากที่เงียบหายไป 2 ปี  

เกิดจากปัจจัยภูมิคุ้มกันหมู่ของประชาชนเริ่มต่ำลง โดยที่ภูมิต้านทานชั่วคราวที่เกิดจากการระบาดใหญ่ครั้งก่อนในประชาชนลดลง และสัญญานเตือนที่สำคัญคือ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตแล้ว 2 ราย เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้คิดว่าเป็นไข้เลือดออก จึงไปคลินิกหรือซื้อยามากินเอง ซึ่งหากเป็นยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) จะมีผลทำให้เลือดออกในช่องทางเดินอาหาร และเสี่ยงต่อการเสียชีวิต 

จากสถานการณ์โรคไข้เลือดออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2565 พบผู้ป่วย 193 ราย พบมากที่สุดในภาคกลาง รองลงมา ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่พบผู้ป่วยจำนวนมากที่สุด ได้แก่  กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนครปฐม  สำหรับกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุดคือ อายุ 5-14 ปี จำนวน 61 ราย รองลงมาคือ    อายุ 15-24 ปี จำนวน 48 ราย ผู้เสียชีวิตมีทั้งหมด 2 ราย เป็นผู้ใหญ่ทั้งสองราย   

สำหรับวิธีการป้องกันโรคที่ได้ผลดีที่สุด คือหลักการ 3 เก็บ เพื่อไม่ให้ยุงลายวางไข่ ดังนี้  

1) เก็บกวาดบ้านให้ปลอดโปร่ง ไม่มีบริเวณอับทึบให้ยุงลายเกาะพัก   

2) เก็บขยะ เศษภาชนะทุกชนิดบริเวณรอบบ้าน ทิ้งในถุงดำ มัดปิดปากถุงแล้วนำไปทิ้งในถังขยะ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งขังน้ำให้ยุงวางไข่เพาะพันธุ์ได้   

3) เก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะใส่น้ำกินน้ำใช้ให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ และเปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็กๆ เช่น ถ้วยรองขาตู้ หรือแจกันทุกสัปดาห์ ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำหรือปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้ เช่น อ่างเลี้ยงไม้น้ำ เป็นต้น 

อ้างอิงจาก 

https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=23291&deptcode=brc&news_views=28