Parents One

วิธีคำนวณวันตั้งครรภ์และวันคลอดอย่างแม่นยำ

การนับอายุครรภ์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ เนื่องจากอายุครรภ์ที่แม่นยำ จะทำให้สามารถวินิจฉัยและตัดสินใจในการเลือกให้การรักษาอย่างเหมาะสมเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้ ทางการแพทย์มีเกณฑ์ในการคำนวณอายุครรภ์ เพื่อติดตามพัฒนาการทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้การคำนวนการตั้งครรภ์ก็จำเป็นสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการมีบุตร เพื่อจะได้ทราบว่าช่วงไหนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมีบุตรนั่นเอง ถ้าอยากทราบว่าจะมีวิธีคำนวณวันตั้งครรภ์และการคลอดอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

วิธีคำนวณวันที่มีโอกาสตั้งครรภ์

วิธีการนับวันตกไข่ ปกติจะใช้ในการหาระยะปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันตกไข่ แต่เราสามารถใช้หลักการเดียวกันนี้ในการหาวันตกไข่หรือวันที่จะมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้

“โดยปกติผู้หญิงจะมีรอบเดือนทุก 28 วัน จะมีการตกไข่ประมาณวันที่ 14 ก่อนที่จะมีประจำเดือนครั้งต่อไป (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 2 วัน) หรือประมาณ 12-16 วันก่อนจะมีประจำเดือนครั้งต่อไป เมื่อไข่ตกแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมง โอกาสการตั้งครรภ์จึงมีถึงวันที่ 17 ของรอบเดือน ส่วนเชื้ออสุจิจะมีชีวิตรอผสมไข่อยู่ได้ประมาณ 48 ชั่วโมง หรือ 2 วันก่อนการตกไข่”

วิธีการคำนวณ : อย่างแรกจะต้องทำการจดบันทึก “ความยาวของรอบเดือน” ไว้ทุกเดือนเป็นระยะเวลา 8-12 เดือน (ถ้าให้ดีคือ 12 เดือนจะแม่นที่สุด) โดยในแต่ละรอบเดือนให้เริ่มนับวันแรกตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายก่อนมีประจำเดือนในรอบต่อไป แล้วดูว่ารอบเดือนครั้งไหนมีจำนวนวันที่สั้นที่สุดและยาวที่สุด แล้วจึงนำมาคำนวณตามสูตร ดังนี้

ยกตัวอย่าง : แต่ละรอบประจำเดือนไว้ 12 เดือน คือ 26, 24, 25, 28, 26, 27, 28, 27, 29, 30, 28, 26 จะเห็นได้ว่ารอบประจำเดือนที่สั้นที่สุดคือ 24 วัน และยาวสุดคือ 30 วัน เมื่อนำมาคำนวณจะได้ วันแรกของระยะไม่ปลอดภัย = 24-18 = 6 ส่วนวันสุดท้ายของระยะไม่ปลอดภัย = 30-11 = 19 ดังนั้น ระยะที่ควรมีเพศสัมพันธ์เพื่อมีลูกในรอบเดือนหน้าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 จนถึงวันที่ 19 ของรอบเดือน (ไม่ใช่วันตามปฏิทิน)

วิธีการคำนวณวันคลอด

ปกติแล้วคุณแม่จะทราบกำหนดวันคลอดได้จากประจำเดือนครั้งสุดท้าย การจดบันทึกการมีประจำเดือนไว้เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งตลอดอายุการตั้งครรภ์จนถึงวันคลอดจะอยู่ที่ 40 สัปดาห์ หรือประมาณ 280 วัน โดยจะเริ่มนับจากวันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายของคุณแม่ ไม่ใช่เริ่มนับจากวันสุดท้ายของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุด หรือนับจากวันที่ประจำเดือนถึงกำหนดจะมาแต่ไม่มา เช่น ประจำเดือนของคุณแม่มาครั้งล่าสุดวันที่ 1 มกราคม และประจำเดือนหมดวันที่ 5 มกราคม และกำหนดที่ประจำเดือนครั้งต่อไปควรจะมาอีกครั้งคือวันที่ 28-29 มกราคม ดังนั้นประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มาคือวันที่ 1 มกราคม (ไม่ใช่วันที่ 5 หรือ 28-29 มกราคม) โดยจะมีสูตรในการคำนวณวันคลอดแบบง่ายๆ ดังนี้

  1. นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายบวกไปอีก 9 เดือน และนับบวกต่อไปอีก 7 วัน ก็จะได้วันกำหนดคลอด สมมติว่า วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายของคุณแม่คือวันที่ 1 มกราคม ก็ให้บวกไปอีก 9 เดือน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม แล้วให้นับบวกต่อไปอีก 7 วัน ดังนั้น กำหนดคลอดของคุณแม่ก็จะตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม
  2. นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายย้อนหลังไป 3 เดือนและนับบวกต่อไปอีก 7 วัน ก็จะได้วันกำหนดคลอด สมมติว่า วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายของคุณแม่คือวันที่ 1 มกราคม ก็ให้นับย้อนหลังไปอีก 3 เดือน คือ ธันวาคม พฤศจิกายน และตุลาคม และนับบวกไปอีก 7 วัน ดังนั้น กำหนดวันคลอดของคุณแม่จะตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม

ถ้าหากคุณแม่มีรอบเดือนมาสม่ำเสมอทุกๆ 28-30 วัน คุณแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะคลอดก่อนวันที่กำหนดไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ (ซึ่งจากตัวอย่างก็จะตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม โดยประมาณ) แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีคุณแม่เพียง 5-6% เท่านั้นครับที่จะคลอดลูกได้ตรงกับกำหนดวันคลอดพอดี และอีก 40% มักจะคลอดลูกเกินกำหนด จากสูตรนี้สามารถนำมาเขียนเป็นตารางกำหนดวันคลอดได้ดังนี้

โดยปกติแล้วการนับอายุครรภ์แบบเป็นเดือนๆ จะไม่มีความละเอียดเพียงพอ เนื่องจากในแต่ละเดือนจะมีจำนวนวันไม่เท่ากันคือ มี 31 วันบ้าง 30 หรือ 28 วันบ้าง และ 29 วันก็มี ดังนั้นการนับอายุครรภ์เป็นสัปดาห์จึงจะถูกต้องมากกว่า โดยมนุษย์เรานั้นจะมีระยะเวลาการตั้งครรภ์รวมแล้วประมาณ 40 สัปดาห์ หรือ 280 วันพอดีๆ ซึ่งจะเริ่มนับจากวันแรกที่ประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาแล้วบวกไปอีก 280 วัน การนับอายุครรภ์ที่แม่มือใหม่ต้องรู้ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก ฉะนั้นเมื่อเริ่มสงสัยว่าตัวเองกำลังมีสัญญาณการตั้งครรภ์ ต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอตรวจ และนับอายุครรภ์ให้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อสุขภาพของทั้งลูกน้อยในครรภ์และตัวคุณแม่เองค่ะ

ที่มา : medthai.com