Parents One

4ขั้นตอน การวางตัวเมื่อรู้ว่าลูกแอบดูสื่อลามก

เมื่อเด็กน้อยของเราเติบโตขึ้นทุกวันไปสู่ช่วงอายุของวัยรุ่น ทำให้ปัญหาหลักที่คุณพ่อคุณแม่ห่วงที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องการแอบดูหรือเสพสื่อลามกต่างๆ ที่เราไม่รู้ เพราะในความรู้สึกหัวอกของคนเป็นพ่อแม่นั้นคิดว่ามันอาจส่งผลให้เขาหมกมุ่นและซ้ำร้ายยิ่งกว่าคือการนำไปลองปฏิบัติตามหรือเลียนแบบโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

วันนี้เราจึงจะมาแนะนำขั้นตอนที่เป็นประโยชน์หากไปรู้เข้าว่าลูกของเราแอบดูภาพโป๊หรือคลิปอนาจารกันค่ะ!

ช่วงวัยกับเรื่องเพศที่ควรรู้

ยิ่งเขาเติบโตก็ยิ่งมีความลับที่ปิดบังเรามากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเพศศึกษาที่บางครั้งลูกก็เขินอายหรือกลัวถูกดุถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่รู้เข้าเพราะส่วนมากถ้าถูกรู้ ก็อาจเกิดการทำดทษหรือตำหนิอย่างรุนแรง ดังนั้นสิ่งแรกที่เราสามารถทำได้คือปรับความเข้าใจกับช่วงวัยของลูกก่อนว่าช่วงอายุไหน เขาสนใจในเรื่องใด

5-8 ปี กำลังช่างสงสัย

ช่วงวัยส่งผลต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับสื่อเรื่องเพศ เมื่อเด็กเริ่มโตจนอายุเกิน 5 ขวบ จะเป็นช่วงที่เขาเริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับแตกต่างของเพศ เช่นทำไมเด็กผู้หญิงถึงไม่มีช้างน้อยแบบเขากันนะ หรือเด็กผู้หญิงเริ่มสงสัยว่าทำไมไม่มีหน้าอกแบบผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่กัน ซึ่งหากเป็นคำถามเหล่านี้ คือการเรียนรู้ตามวัยที่กำลังสำรวจทั้งตนเองและผู้อื่น คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ความรู้ได้เลยในทันทีเพราะจะทำให้ลูกเข้าใจระบบของร่างกายมากขึ้น

9-12 ปี แตกเนื้อหนุ่มสาว

เดี๋ยวนี้เด็กๆ โตไวกว่ารุ่นของคุณพ่อคุณแม่อย่างเรามาก ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกายหรือความรู้สึกในเรื่องเพศ เด็กหญิงเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังไม่ครบ 12 หรือเด็กผู้ชายที่เกิดอาการฝันเปียกแล้วโดยที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีอาการนี้ เพราะฉะนั้น วัย9-12 คือวัยที่ฮอร์โมนในร่างกายกำลังเกิดการปรับเปลี่ยน ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นลงอย่างรวดเร็วและบางครั้งเองก็เริ่มมีอารมณ์ทางเพศ

คุณพ่อคุณแม่จะต้องเริ่มสอนและทำให้ลูกเข้าใจแล้วว่า การพัฒนาด้านร่างกายและอารมณ์นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรด้วยข้อมูลทางวิชาการต่างๆ ด้านเพศศึกษา

13-18 ปี เป็นตัวของตัวเอง

นี่คือวัยที่ต้องมีการตั้งรับและเข้าใจมากที่สุดแล้วในการเจริญเติบโตของลูกหลานเพราะเป็นวัยที่มีความคิดเป็นของตนเองสูง, มีความอยากรู้อยากเห็นที่อยากจะลองปฏิบัติหรือเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่าการฟังคำสั่งสอน และแรงขับเกี่ยวกับเรื่องเพศนั้นก็เริ่มสูงรวมไปถึงการมีเพื่อนฝูงเป็นพวกด้วยที่ทำให้หลงใหลและสนุกสนานไปกับชีวิตก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ อยากลองทำอะไรที่ไม่คาดคิด

แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นวัยที่สามารถเปิดการรับรู้ได้มากที่สุดเช่นกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนหรือให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้มาก ขอเพียงต้องพูดคุยด้วยความเข้าใจและเป็นพวกเดียวกันกับลูกให้มาก

หลังจากทำความเข้าใจเรื่องวัยของเขาแล้ว ต่อมาจะเป็นการบอกปัญหาเป็นข้อๆ ไปเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจสถานการณ์และรับมือได้อย่างถูกต้องนะคะ

 

ขั้นที่ 1 ไม่ดุด่าหรือตำหนิ หายใจลึกๆและปรับความคิด

แน่นอนว่าเมื่อลูกไม่เป็นดั่งที่เราคิดหรือรู้สึกว่า ยังเด็กอยู่เลย จะมาทำแบบนี้ไม่ได้ มือก็อยากง้างแล้ว แต่นั่นจะกลายเป็นข้อพลาดที่รุนแรงที่สุดเพราะหากเราได้ตำหนืหรือลงไม้ลงมือไปแล้ว ลูกจะเกิดความกลัวและรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่สามารถถามหรือปรึกษาพ่อแม่ได้อีกต่อไปซึ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการไปเรียนรู้เองกับกลุ่มเพื่อนหรือคนนอกบ้านที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าหลังจากนั้น จะเกิดอะไรตามมาได้บ้าง

เพราะฉะนั้นแล้วการตำหนิหรือทำโทษจึงไม่ใช่ทางออกแต่เป็นการผลักให้ลูกออกไปไกลจากการดูแลเรามากขึ้น สิ่งที่ควรทำจึงเป็นการสงบสติอารมณ์ ประมวลสิ่งที่เกิดขึ้นว่าควรจัดการด้วยวิธีใดในช่วงอายุที่เหมาะสมวัยของลูก

ขั้นที่ 2 สำรวจช่วงอายุของลูกเพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่จะสอน

การดูสื่อลามกของเด็ก ไม่ว่าจะจากหน้าจอมือถือ, หนังสือหรือแม้แต่การได้ยินคนอื่นพูดคุยกันมาแล้วจึงนำมาเป็นคำติดปากตนเอง ล้วนมีหนึ่งปัจจัยสำคัญคืออายุของลูกในการรับว่าเขามีมุมมองต่อการรับสารมาเช่นไร อาทิ ไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงผู้ชายทำอะไรกัน, ไม่รู้ว่าภาพแบบนี้เรียกว่าสื่อลามก, คำพูดจาของคนอื่นที่ไม่เข้าใจความหมายว่ากำลังพูดอนาจารหรือส่อเสียดไปทางเพศ

วัยประถม

ยังไม่ใช่วัยที่กำลังเรียนรู้หรือสนใจเรื่องนี้เป็นหลัก คุณพ่อคุณแม่จะสามารถสอนได้ง่ายกว่าช่วงอายุอื่นเพราะเขายังไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้มากเท่าวัยรุ่น สามารถบอกได้ตรงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรแต่ก็ต้องมีข้อจำกัดกับลูกว่าในวัยของลูกยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว

วัยมัธยมต้น

เป็นวัยที่กำลังต้องการรู้เรื่องพวกนี้อย่างมากเพราะร่างกายกำลังเจริญเติบโต ทั้งยังเริ่มสนใจเพศตรงข้ามมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นวิธีการพูดคุยจะต้องมีความจริงจังที่มากขึ้นและใช้ความรู้ในการพูดคุย

ไม่เข้าไปหาและพูดไปโดยตรงว่าเห็นทั้งหมดแล้วที่ดูหรืออ่านแต่ค่อยๆ พูดและเบี่ยงเข้าประเด็นไปแบบเนียนๆ

วัยมัธยมปลาย

เป็นวัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งความรู้สึกและความต้องการ ฉะนั้นวัยนี้จึงเป็นวัยที่เข้าถึงสื่อลามกได้อย่างเต็มรูปแบบและมักจะใช้เวลาศึกษาอยู่กับเพื่อนและคนข้างนอกมากกว่าคนในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ต้องดูพฤติกรรมและอุปนิสัยของลูกว่าเป็นเช่นไร สามารถพูดคุยได้ตรงๆเลยฟรือไม่ รึต้องค่อยๆ แสดงออกว่ารับฟังลูกจึงยอมเปิดใจพูดด้วย

ขั้นที่ 3 เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจะเริ่มให้ความรู้ลูกต่อ

ในบางครั้ง สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่รู้มาหรือปฏิบัติกันมา อาจไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมดหรืออาจเกิดการจากหล่อหลอมภายในสังคมมากกว่าข้อเท็จจริง ดังนั้นเรื่องของความรู้และความเข้าใจในเรื่องเพศ จำต้องศึกษาให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องในเรื่องของร่างกาย, วุฒิภาวะและอารมณ์ของวัย ยิ่งเราเป็นคุณพ่อคุณแม่แล้ว เราย่อมต้องเคยผ่านพ้นช่วงวัยเลือดร้อนมาก่อน เลยยิ่งต้องเข้าใจในความอยากรู้อยากเห็นเป็นของเขาว่ามันคือหนึ่งในการเรียนรู้ที่สำคัญจริงๆ ไม่ใช่เพราะหมกมุ่นหรือฝักใฝ่แต่เพราะไม่รู้จึงยิ่งอยากรู้ให้รู้สึกว่าตนเป้นผู้ใหญ่แล้ว

ฉะนั้นเมื่อศึกษามาอย่างดีและได้ทำการสอนที่ถูกต้อง ให้ลูกได้รู้ถึงสิ่งที่อยากรู้ก็จะทำให้ทุกอย่างดูง่ายและมีเหตุมีผลมากขึ้นในการพูดคุยแถมยังได้รับความไว้ใจจากเขาไปเต็มๆ อีกด้วย

 

ขั้นที่ 4 เปิดใจเราให้กว้างและรับฟังความรู้สึกของลูก

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะทำให้ความสัมพันธ์ครอบครัวในเรื่องนี้สามารถพูดคุยกันอย่างไม่เขินอาย นั่นคือเราจะต้องเปิดใจว่าเรื่องเพศ ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวหรือผิดศีลธรรมเสียจนต้องดุด่าว่ากล่าวด้วยวาจารุนแรง หักหาญน้ำใจกันและกัน นึกไว้เสมอว่าการเรียนรู้ของลูกนั้นเกิดขึ้นอยู่ทุกวันและมีได้ทุกเรื่องราวให้เราต้องช่วยบอกและแนะนำให้เขาได้เจอทางออกที่ดีที่สุด

เช่นนั้นแล้ว เมื่อจับได้หรือบังเอิญเห็น ต้องรับฟังเขาให้มากกว่าให้เขาฟังเราแล้วจึงถามไถ่สิ่งที่เขาสงสัยหรืออยากรู้ว่าคืออะไร และต้องสัญญากับตนเองว่าถึงคำตอบของลูกจะไม่ถูกใจแค่ไหนจงอย่าใช้อารมณ์เข้าจัดการแต่ทำให้มันเป็นเรื่องที่เรากำลังทำความเข้าใจและให้เขาฟังมุมมองเขาเราด้วยแทน เช่น

” ลูกอยากดูเพราะอยากรู้ใช่ไหมว่าผู้ใหญ่เขาแสดงความรักกันอย่างไร ถ้าอยากรู้ถามพ่อได้นะ พ่อก็เคยผ่านมาก่อน น่าจะพอแนะนำได้ ”

” แม่เองก็เคยดู แม่รู้ว่ามันยากที่จะบอกผู้ใหญ่ตรงๆ แต่กับแม่ ลูกบอกได้นะ แม่พร้อมฟังและช่วยหาคำตอบ ”

” พ่อแม่เข้าใจนะ มันคือเรื่องธรรมชาติเพราะมันถึงวัยของหนูแล้ว มีอะไรบอกได้เสมอ ”

คิดไว้เสมอว่าลูกนั้นก็ยังคงเป็นลูกคนเดิมที่เติบโตขึ้นให้ทันกับสังคมที่เขาอาศัยอยู่ หน้าที่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือสนับสนุนทุกอย่างให้เขามีภูมิคุ้มกันที่จะอยู่กับโลกภายนอก, มีความกล้าและมุ่งมั่นที่จะพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ ดังนั้นกับเรื่องเพศเองก็เช่นกัน เมื่อสักวันที่ลูกโต เราก็ต้องเร่งสร้างภูมิหรือการเรียนรู้ที่ถูกต้องให้เขาเพื่อเป็นอาวุธปกป้องตนไปจนโต

 

ที่มา : honestdocs , p4teencities.trueid.net