Parents One

6 วิธีรับมือลูก…เมื่อต้องพาไปทำงานต่างประเทศ

มีประสบการณ์จากคุณแม่ที่แชร์วิธีการพาลูกไปท่องเที่ยวต่างประเทศให้อ่านบนโลกออนไลน์กันมากมายเลยนะคะ แต่ในประสบการณ์ทั้งหลายนั้น หากลูกของคุณไม่ได้เป็นแบบลูกของเขาก็ยากที่จะปฏิบัติได้ตามขั้นตอนต่างๆ เหล่านั้น วันนี้จึงมาแชร์ประสบการณ์พาลูกไปทำงานและเที่ยวพร้อมๆ กันให้ได้อ่านกันค่ะ

เลือกเที่ยวบินเช้าสุดและกลับค่ำสุด

การไปทำงานครั้งนี้จะต้องใช้เวลา 3 วัน 2 คืนที่ประเทศสิงคโปร์ ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือเตรียมจองไฟล์ทที่สอดคล้องกับเที่ยวบินที่ผู้จัดงานวางแผนไว้ โดยทางทีมงานแจ้งให้เลือกจองไฟล์ทแรกของวันนั่นคือ 08.00-11.15 น. ทำให้ต้องตื่นเพื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างตั้งแต่ ตี 4 ครึ่ง เพื่อไปให้ทันสนามบิน และเลือกวันกลับเที่ยวสุดท้ายของวัน เพื่อจะได้มีเวลาท่องเที่ยวเพิ่มเติมหลังเสร็จงานโดยไม่ต้องรีบเร่งด้วย

ข้อควรรู้ 

1. ตอนตรวจขั้นตอนตม.ขั้นแรก พยายามอย่าใส่เสื้อหลายชั้นให้ลูก เพราะจะทำให้ต้องถอดชุดมากมายและวุ่นวายมากนะคะ ใส่แค่เสื้อยืดและกางเกงขายาวก็พอ แต่สแตนบายเสื้อหนาวและผ้าคลุมสำหรับกระเป๋าแยกไว้เผื่อข้างในอากาศหนาว และให้ลูกกินนมกล่องให้เสร็จก่อนเข้าไปตรวจนะคะ เพราะเค้าไม่ให้เอาน้ำหรือนมเข้าไปด้านในเกิน 100 ml.

2. มีช่องตรวจเอกสารสำหรับเด็กเล็กที่ความสูงไม่ถึง 120 ซม.นะคะ เป็นช่องพิเศษที่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ให้แจ้งทางเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ตรงบันไดเลื่อน สะดวกและไม่เสียเวลานานค่ะ

เตรียมกระเป๋าแบบมีสายจูงให้ลูก

หลังจากที่ลงเครื่องแล้ว สิ่งแรกที่ทำคือไปรับซิมที่เทอร์มินอล 2 แต่เครื่องที่ใช้เดินทางมาเป็นเทอร์มินอล 1 ดังนั้น ต้องเดินทางข้ามเทอร์มินอลด้วยรถไฟ จึงต้องปล่อยให้ลูกเดินวิ่งเองเพื่อปล่อยพลัง หลังจากต้องนั่งอึดอัดบนเครื่องมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง (โชคดีที่ลูกหลับตั้งแต่เครื่องเริ่มแลนดิ้งจนถึงปลายทาง) การเลือกกระเป๋าที่มีสายจูงจะช่วยให้เราดูลูกได้สะดวกขึ้นและป้องกันไม่ให้ลูกไปรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นนะคะ ซึ่งนอกจากจะช่วยขณะเดินทางภายในสนามบินแล้ว ยังช่วยให้ดูแลลูกง่ายขึ้นไม่ว่าไปเที่ยวที่ใดๆ ก็สะดวกด้วยค่ะ

เปิดกว้างรสชาติใหม่ๆ ให้ลูก

การเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ เราไม่ได้พกอาหารสำเร็จรูปหรือข้าวซองของเด็กเลยนะคะ เพราะต้องการให้ลูกเปลี่ยนรสชาติใหม่ๆ ซึ่งเด็กควรจะได้กินอาหารที่หลากหลาย สิ่งที่เตรียมไปคืออุปกรณ์รับประทานอย่างช้อน ส้อม ตะเกียบ สำหรับพกพาอันเล็ก สำรองไว้หากร้านอาหารไม่มีให้ใช้งาน ที่จริงสิ่งที่ควรพกไปด้วยอีกอย่างคือผ้ากันเปื้อนสำหรับเด็กนะคะ เพราะจะกินเลอะร้านอาหารแน่นอน แต่เสียดายที่เราดันลืม และโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องจะหยิบก็ลำบาก จึงใช้กระดาษทิชชู่และกระดาษเปียกสำหรับทำความสะอาดเมื่อหกหล่นตามโต๊ะและพื้น ซึ่งตามมารยาทควรเก็บและเช็ดให้เรียบร้อย เผื่อว่าลูกค้าท่านอื่นมานั่งต่อได้ค่ะ

เช็คสถานที่เที่ยวใกล้ๆ สำหรับลูก

การเดินทางของเราครั้งนี้ คือ เพื่อไปทำงาน ดังนั้น ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องห่างลูกและฝากลูกไว้กับพ่อ จึงมีการสำรวจสถานที่ที่ลูกจะเที่ยวเล่นได้ ไม่ว่าจะเป็น สวนสาธารณะ ห้องเด็ก สระว่ายน้ำต่างๆ โดยโรงแรมที่ไปพักคือ Marina Bay Sand ที่เรียกว่ามีครบทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกของเด็กและผู้ใหญ่แบบไม่ต้องออกไปนอกโรงแรม เมื่อลูกตื่นสามีของเราจึงสามารถพาลูกลงไปทานอาหารที่ฟู้ดคอร์ทชั้นใต้ดินและออกไปเดินถ่ายรูปชมสวนที่ Garden by the bay ได้ แค่นี้ลูกก็เหนื่อยและกลับมานอนพักกลางวันที่ห้องได้ไม่ไกลมากค่ะ

เลือกใช้ Grab Family

อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ด้วยกฏหมายการเดินทางของสิงคโปร์ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องการใช้งาน Grab นะคะ ทำให้มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Grab Family สำหรับการเดินทางของครอบครัว โดยภายในรถจะมีเบาะที่นั่งสำหรับเด็กให้นั่งและคาดสายรัดได้อย่างสะดวก ซึ่งคุณสามารถเลือกรถประเภทนี้ได้ค่ะและราคาจะเพิ่มประมาณ 2 เหรียญ

แต่สิ่งที่ตลกสำหรับเราคือ ตอนแรกเราไม่ทราบว่ามีบริการนี้ ก็เรียก Grab แบบธรรมดาจากสนามบิน รถที่มารับดันมีเบาะสำหรับให้บริการ แต่พอขากลับเราเลือกแบบมีเบาะ คนขับดันบอกว่าเธอลืมเอาเบาะนั่งสำหรับเด็กมา เราก็แอบเซ็งนิดหน่อยเพราะต้องเสียค่าบริการเพิ่มแต่ไม่มีเบาะให้ใช้งานซะอย่างนั้น

เจออารมณ์ลูก ใจต้องนิ่ง

อันนี้เป็นเรื่องสุดวิสัยที่บังเอิญเจอค่ะ คือปกติตอนอยู่บ้านหรือพาไปเที่ยวที่ไหน ลูกเราไม่เคยร้องงอแงและลงไปดิ้นกับพื้นมาก่อน พอต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็แอบช็อกนิดนึงว่า ลูกเป็นอะไร เพราะร้องและดิ้นกลางห้างที่ Orchard ซึ่งผู้คนเดินผ่านไปมาเพียบเลยทีเดียว

สิ่งที่ทำได้ ณ ขณะนั้น คือ ใจเย็นๆ ก่อนนะโยม เราเลยจัดการปล่อยลูกวางที่พื้นให้ดิ้นไปก่อนและนั่งมองลูกที่กำลังดิ้นแบบงอแงสุดๆ หายใจนับ 1 ถึง 10 ในใจ (ส่วนสามีก็งง ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน) จากนั้นก็ยิ้มให้ลูกและพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงที่ไม่โกรธว่า “ไปกินไอติมกันไหมคะ” ได้ผลคือ ลูกนิ่ง ยิ้มและยอมให้อุ้มแต่โดยดี จากนั้นค่อยๆ พูดกับเขาว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ดีอย่างไร และไม่ควรทำในที่สาธารณะ เพราะจะรบกวนผู้อื่น ซึ่งลูกก็จะฟังและยอมรับแต่โดยดี

สิ่งที่บอกว่าเซอร์ไพร์สสุดในการเดินทางครั้งนี้ คือ การงอแงแบบไม่มีเหตุผลของลูกนะคะ เพราะปกติลูกจะเป็นเด็กอารมณ์ดีมากและไม่เคยร้องงอแงขนาดนี้เลย พอเรามานั่งคุยกับสามีก็สรุปกันได้ว่า ลูกอาจจะเหนื่อย เพราะตั้งแต่เช้าตื่นมา 9 โมง (ซึ่งเร็วกว่าเวลาไทย 1 ชั่วโมง) ลูกยังไม่ได้นอนกลางวันเลย ซึ่งเขาอาจจะเหนื่อย แต่ก็ไม่ต้องการที่จะนอนเพราะแปลกที่ เขาจึงมีอาการแบบนั้น

ดังนั้นขอให้คุณแม่ที่กำลังวางแผนพาลูกเที่ยว เตรียมใจให้พร้อมนะคะ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไร จำให้ขึ้นใจว่า นี่คือลูกของเรา โลกของเขาทั้งหมดคือเรา ดังนั้น สิ่งที่คุณแสดงออกเขาจะจดจำและทำซ้ำ อย่าคิดว่าเขายังเล็กไม่น่าจะจำได้เพราะวัย 1-3 ปีคือเขาจะจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและเรียนรู้ทุกอย่างผ่านการแสดงออกของคุณแม่นะคะ ขอให้คุณแม่สู้ๆ และเที่ยวให้สนุกค่ะ