Parents One

คุยกับคุณแม่ตุ๊ก Little Monster ที่ผ่านสถานการณ์ COVID-19 ได้ เพราะแรงใจจากครอบครัว

“ครอบครัวคือแรงใจและแรงสนับสนุนสำคัญของเรา” ประโยคนี้น่าจะเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกันใช่ไหมคะ เวลาที่เรารู้สึกไม่สบายใจหรือต้องการที่พักพิง “ครอบครัว” ยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ เช่นเดียวกับ EP. สุดท้ายของ Save Family from COVID-19 the Series ใน EP. นี้เรามาพูดคุยกับคุณแม่ตุ๊ก Little Monster ของน้องจินและเรนนี่ ที่ผ่านสถานการณ์ COVID-19 ไปได้ด้วยแรงใจจากครอบครัวค่ะ

รู้สึกยังไงบ้างต่อสถานการณ์ COVID-19 ที่เกิดขึ้น ?

คุณแม่ตุ๊ก : ก็ใช้ชีวิตระวังขึ้น ยอมรับตรงๆ ว่ามันมีทั้งความเครียดและกังวลอยู่ ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนเมื่อก่อน เรื่องความเครียดเป็นอะไรที่รับมือค่อนข้างยาก เรารู้สึกได้เลยว่าเรารับมือได้ยากมากเพราะว่า ด้วยความที่เราทำธุรกิจหลายตัว แล้วมันก็จะกระทบทุกตัวที่เราทำอยู่ มันก็ต้องยอมรับและทำงานกันต่อไป

ปรับตัวยังไงในการเลี้ยงลูกช่วงนี้ ?

คุณแม่ตุ๊ก : ถ้าในเรื่องของการเลี้ยงลูกๆ ในช่วงโควิด เราก็มีการปรับตัวในเรื่องการปรับตารางชีวิตของเราให้เข้ากับตารางการเรียนของลูก แต่ช่วงแรกที่เราปรับ เราปรับกันเยอะมาก เพราะว่าด้วยความที่ Work from Home มันก็จะยากในการทำงานของเรา เพราะเราจะเอาตารางเรียนขอลูกไว้ก่อน บางทีเขาจะมีไลฟ์กับครู หรือว่าช่วงที่เขาจะทำ E-Learning แบบฝึกหัดให้เสร็จ ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด เราก็ต้องให้การบ้านของเขาเสร็จก่อน

จัดการศึกษาให้ลูกยังไงในช่วง COVID-19 ?

คุณแม่ตุ๊ก : โรงเรียนจินเป็นโรงเรียนสองภาษา ไม่ใช่อินเตอร์ ก็จะมีการปิดเทอมหรือเปิดเทอมไม่เหมือนโรงเรียนไทย คือตอนที่โรงเรียนไทยเริ่มเรียนออนไลน์กันแล้ว จินก็ใกล้จะเรียนออนไลน์จบแล้ว จากนั้นก็จะปิดเทอม อะไรที่เราเห็นข่าวที่เด็กๆ โรงเรียนไทยมีอุปสรรค หรือทำยากกันอยู่เนี่ย เราเข้าใจมากเพราะเราผ่านช่วงนั้นมาก่อน มันยากมากอะ โดยเฉพาะช่วงสองอาทิตย์แรกคือยากมาก เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราต้องเป็นครูให้ลูก

อย่างคนที่เขาต้องทำงานเป็นเวลา และเขาต้องทำงานข้างนอก มันยากมากที่จะสอน E-Learning ให้ลูก เรียนออนไลน์บางอย่างมันไม่ซัพพอร์ตหลายๆ บ้าน คือเรียนออนไลน์มันสร้างผลกระทบเยอะ แก่จิตใจเด็กว่าเขาต่อต้านการเรียน แล้วสิ่งแวดล้อมที่บ้านมันปลุกเ้ราอารมณ์ให้อยากเล่นมากกว่าเรียนอยู่แล้ว

บอกลูกยังไงให้เขาเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ?

คุณแม่ตุ๊ก : ถ้าจินในวัย 8 ขวบเนี่ย เขาเห็นข่าว เขาก็เข้าใจละ เขาค่อนข้างเข้าใจเยอะในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่แล้วว่า มันเกิดโรคนะ ไวรัสเกิดขึ้น เราต้องป้องกันตัวเอง เราออกไปไม่ได้เพราะอะไร แต่ถ้าในเคสของเรนนี่เนี่ย ช่วงแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไม เราก็ต้องหาสื่อที่เป็นการ์ตูนที่เขาคุยเรื่องนี้ มาเปิดให้เขาดูแล้วก็ค่อยๆ อธิบาย บางทีจินก็จะวาดรูปให้เขาเห็นภาพ ว่าทำไมเราออกไปไหนไม่ได้ ก็จะช่วยได้เยอะเลย

กิจกรรมที่เด็กๆ ทำในช่วงอยู่บ้าน ?

คุณแม่ตุ๊ก : คือเขาก็จะมีส่วนร่วมในเกือบทุกอย่างที่เราทำ บางทีเราจะแก้งานหน้าคอม เขาก็จะมาเกาะหลังแล้วถามว่าทำอะไร ประชุม Zoom หรอ ประชุมด้วย ด้วยความที่เขามีพี่น้องไง เขาก็เล่นกันในบ้าน ในหมู่บ้านอะไรอย่างนี้ แล้วหลายๆ อย่าง เช่น ขี่จักรยาน เล่นสกูตเตอร์ อะไรที่ Outdoor มากๆ ก็ถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาเลย

เพราะต้องยอมรับว่าจินกับเรนนี่ไม่ได้เป็นเด็ก Outdoor เขาเป็นเด็ก Indoor มากๆ แต่พอโควิดปุ๊บเราก็ต้องปรับตัว ลูกก็เล่นสกูตเตอร์เราก็ต้องเล่นด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้ตุ๊กเล่นสกูตเตอร์เป็นแล้ว

รู้สึกแตกต่างจากการที่ลูกปิดเทอมไหม ?

คุณแม่ตุ๊ก : ต่างนิดหน่อย ไม่ได้ต่างเยอะ อาจจะต่างในเรื่องไปเที่ยวได้น้อยลง หรือไม่ก็เวลาออกไปข้างนอกต้องค่อนข้างรัดกุมความปบอดภัย ความสะอาดและความปลอดภัยที่ตรงนี้จะแตกต่างจากเมื่อก่อน เพราะเปิดเทอมอีกทีก็ต้องปรับตัวใหม่ตั้งแต่ต้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้ผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ ?

คุณแม่ตุ๊ก : น่าจะเป็นทุกคนในครอบครัวที่ช่วยกันผ่านมันไปได้ คือเราไม่ค่อยเครียดเรื่องลูกหรอก เพราะเขาอยู่ในบ้าน เขาปลอดภัย แต่เราจะเครียดเรื่องงานมากกว่า ตอนเราแย่ พ่อแม่เราหรือสามีเราช่วยกันให้เรารู้สึกดีขึ้น หรือว่าช่วยกันแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้า มันก็จะทำให้ภาพรวมดีขึ้น พี่ว่าหลักๆ ที่ทำให้เราผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้คือ ครอบครัว

สิ่งที่อยากทำอย่างแรกหลังหมด COVID-19 ?

คุณแม่ตุ๊ก : คือเราอยากไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดถ้ามันมีการพัฒนาขึ้นมาแล้ว คือเราก็เป็นพวกประเภทแม่นอยด์ กลัวความปลอดภัย กลัวสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง คือพ่อแม่เรา ถ้ามีวัคซีนได้ก็จะไปฉีดเลย

คิดว่าชีวิตประจำวันหลังจากนี้จะเป็นยังไง ?

คุณแม่ตุ๊ก : เราคาดว่ามันจะมี New Normal เกิดขึ้น ซึ่งเราก็ต้องปรับตัวให้ได้กับ New Normal ที่เกิดขึ้น เราคิดว่าคนน่าจะพกเจลแอลกอฮอล์ ปิดปากกันเยอะขึ้น พวกออนไลน์ต่างๆ น่าจะบูมมากขึ้น แล้วก็คนก็เริ่มชินกับสั่งของออนไลน์

เรารู้สึกว่าอะไรมันไม่แน่นอนหรอก แผนธุรกิจที่เราวางไว้ก็ต้องเปลี่ยนหมด แผนการเที่ยวก็ไม่เกิดขึ้น เรื่องการเรียนของลูกก็เอาเท่าที่ได้ มันทำให้เราไม่ได้ยึดติดมาก มันมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ