Parents One

สัมภาษณ์ แพร นาฏนุช เจ้าของแบรนด์ Tiny Nose คุณแม่ที่เริ่มต้นธุรกิจจากความรัก

คุณแม่แพร นาฏนุช วงศ์ศรีรุ่งเรือง จากเพจ สารพันปัญหาการเลี้ยงลูก เป็นผู้หญิงเก่งอีกหนึ่งคนที่ทั้งทำธุรกิจด้วยความรัก และดูแลลูกสาว “น้องลิดา” ได้เป็นอย่างดี เรามาพูดคุยกันว่าชีวิตของคุณแม่คนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆ อย่างนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

แนวทางการเลี้ยงลูกของแม่แพร

เราจะให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่ เพราะว่าสิ่งที่ออกดอกออกผลกับลูกคือเวลาที่เราใช้กับเขา ไม่ว่าจะเวลาที่ได้นั่งมองตาแล้วคุยกับลูกหรือสื่อสารกันมันสำคัญที่สุด ซึ่งเราจะเลี้ยงตั้งแต่เกิดเองแบบไม่ใช้พี่เลี้ยงเลย

ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังได้เป็นแม่

อุปสรรคแรกก็คือ “ความเหนื่อย” มากกว่า ตอนก่อนเป็นแม่เรารู้จักความเหนื่อยนะ แต่พอมาเป็นแม่ความเหนื่อยมันคืออีกระดับหนึ่ง นอนไม่พออะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าบางคนรับมือได้ดี แต่บางคนอาจจะยากลำบากในการผ่านสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเรารู้สึกว่าเรายากลำบากในการผ่านจุดนี้ไปได้ แต่ก็ผ่านมาได้เพราะความอดทนและการเตรียมพร้อม ต้องเตรียมพร้อมอย่างไร ต้องดูแลอย่างไร เพราะเราเลี้ยงลูกคนเดียว จะมีสามีมาช่วยบ้างในบางครั้ง เราก็ต้องบริหารจัดการเองทุกอย่าง

มีแม่ๆ มาปรึกษาเยอะ

มีคนเข้ามาปรึกษาหลังไมค์ในเพจทุกวันเลย วันละหลายๆ คน แต่เราตอบทุกคนนะ ใช้เวลาว่างหลังจากดูลูก และพยายามจะตอบคำให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเข้าโรงเรียน หรือเจอปัญหาในการเลี้ยงลูกแบบนี้ทำอย่างไรดี ลูกมีอการเจ็บป่วยไม่สบายเบื้องต้น เรารู้สึกว่าตัวเองต้องตอบเพราะแม่ๆ คงอยากหาคนที่ให้คำปรึกษาได้ และเขาก็นึกถึงเรา

น้องเคยไม่สบายหนักมาก

น้องมีปานเป็นปื้นๆ ทั้งใบหน้า ซึ่งมันไม่ใช่อาการป่วยนะ แต่เรียกว่าเป็น “อาการผิดปกติทางผิวหนัง” แต่ตอนนี้จะสังเกตได้ว่าไม่มีแล้ว เพราะเราดูแลจนหาย ถ้าเห็นตอนเด็กตรงครึ่งหน้าจะเป็นสีน้ำเงินๆ น้ำตาล แต่ทำอะไรไม่ได้ ก็คือปล่อยให้เป็น birthmark ที่แม่ให้เขามา คุณหมอบอกว่ามันไม่มีสาเหตุเลย มันเกิดขึ้นมาเอง เรียกได้ว่าจุดนั้นเป็นจุดยากลำบากสำหรับเรา

ทำทุกทางเพื่อหาหนทางรักษา

หาทางรักษาเยอะมาก จนไปเจอศาสตราจารย์ที่เก่งมากเรื่องปานโดยเฉพาะ เขาเลยช่วยรักษาน้องลิดาตั้งแต่อายุ 7 เดือน ทำให้ตอนนี้ไม่มีปานเหลือเลย แต่ถ้าสังเกตจะมีอยู่ตรงที่ตาน้องนิดนึง เรียกได้ว่าช่วงหาวิธีรักษาคือชีวิตช่วงที่ลำบากที่สุดของเรา เพราะทั้งคนถามเยอะ พร้อมทักในสิ่งที่เราไม่อยากให้ทัก ซึ่งพอหายแล้วเราเลยรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจหัวอกของคนที่เป็นแม่ว่าไม่ว่าลูกจะเกิดมาเป็นแบบไหน คนเป็นแม่ก็จะรักลูกอยู่ดี

การเข้ามาอยู่ตรงนี้ทำให้เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีปัญหาลูกเป็นปานนั้นมีหลายคนมาก บางคนเป็นทั้งตัวเลยแบบไม่มีสาเหตุ ก็ต้องเลเซอร์เลยทั้งตัว  แล้วการจะเลเซอร์ก็ต้องดมยาด้วย มันเป็นอะไรที่พ่อแม่ไม่อยากให้ดมอยู่แล้ว หลังจากนั้นเราก็เลยช่วยคุณหมอด้วยการอยู่ในโปรแกรมให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องปานกับโรงพยาบาลศิริราช ที่เขาวิจัยว่ามีประโยชน์อย่างไร เราถือว่าน้องลิดาจะได้ช่วยเขาทำบุญด้วย

วิธีรับมือกับเสียงวิจารณ์

ด้วยนิสัยของคนไทยเวลาไปไหนก็มักจะทักว่า “เป็นอะไรเหรอ” ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็จะถามหมด ทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากให้มาจับตามองประเด็นที่ลูกเราเป็น เพราะความรู้สึกข้างในมันก็ไม่ได้เเข็งแรงนะ แต่เราก็ต้องพยายามโอเคกับทุกคน เราก็เลยกังวลตอนที่ลูกเราเข้าโรงเรียน เพราะเราอยากให้ลูกเป็นเด็กที่มีความมั่นใจ และคิดว่าข้างในมันสำคัญกว่าข้างนอก

ส่วนการรับมือจะเน้นเฉยๆ คือฟังเพื่อรับทราบ แต่คนเราจะมีความเชื่อของแต่ละคน เราต้องดูว่าเราไม่ได้มีปัญหา แต่ต้องรู้ว่าจุดยืนของเราคืออะไร ทำให้เราเห็นว่านั่นคือของคนรอบข้าง ก็ไม่ต้องไปโต้เถียงอะไรมาก แต่ว่าเราจะไม่มีการไปหักล้างว่าแบบวิธีการของเขาไม่ดี เพราะอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำ แต่ก็รับฟังมันไว้เผื่อมีประโยชน์กับเรา แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวอย่างอากง อาม่า อันนี้ที่ดูทำแล้วโอนอ่อนผ่อนตามได้บ้างก็จะทำแบบครึ่งๆ กับวิธีของเราไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาครอบครัวตามมา

ทำไมถึงเริ่มทำแบรนด์ Tiny Nose

การทำธุรกิจของเรามันเกิดจากว่าเราต้องดูแลน้องเป็นพิเศษ ​Tiny Nose (ผลิตภัณฑ์ผ้าเปียกสำหรับเด็ก) นี่เริ่มตอนที่น้องเกิดประมาณครึ่งปี เพราะว่าน้องลิดาเป็นเด็กที่แพ้ง่ายด้วย คุณหมอบอกว่าให้พกสำลีกะบน้ำเกลือเอาไว้ ซึ่งเราก็พกทุกวันเอาไว้เช็ดหน้า เช็ดจมูก และเช็ดในส่วนที่บอบบาง เราก็เลยวิจัยและพัฒนาสินค้าขึ้นมา จนมาจบประมาณที่น้องสองขวบกว่าๆ เกือบอายุสามขวบ

ที่เลือกใช้กลิ่นองุ่นในผลิตภัณฑ์ เพราเป็นกลิ่นเราสำรวจแล้วว่าเด็กๆ ชอบ เรียกได้ว่าติดอันดับ Top3 เลย ซึ่งพวกยาสามัญต่างๆ ที่เด็กต้องกินบ่อยก็จะเป็นกลิ่นองุ่น เพราะทำให้เด็กทานง่าย แล้วพอเด็กบางคนไม่ชอบทำความสะอาด หรือมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการใช้ชิชชู่เช็ดแล้วรู้สึกเจ็บ ตัวกลิ่นจะช่วยให้น้องรู้สึกดีขึ้น ทำความสะอาดน้องได้ง่ายขึ้น และช่วยคุณแม่ให้ดูแลเด็กได้ดีขึ้นด้วย

ทั้งทำธุรกิจและเลี้ยงลูกด้วย บริหารเวลาอย่างไร

มันเหนื่อยมากเลยนะ (หัวเราะ) เพราะทั้งทำธุรกิจ เลี้ยงลูก และทำเพจด้วย (สารพันปัญหาการเลี้ยงลูก) ตอนหลังมีเวลามากขึ้นเพราะว่าเขาเข้าโรงเรียน เราก็จะมีเวลาประมาณแปดโมงเช้าจนถึงบ่ายสองที่จะนั่งทำงาน ไม่ว่างานเพจ หรืองานบริษัทให้เสร็จ แต่หลังจากอยู่กับลูกจะเป็นเวลาที่แบบอยู่กับเขาจริงๆ จะพยายามไม่แตะงาน ซึ่งช่วงนี้จะเป็นงานที่ลักษณะโทรคุยได้มากกว่า จะไม่ต้องไปทุ่มเวลาอยู่ตรงหน้าคอมแล้วทำ

เหมือนหลังจากเขาหลับแล้วเราถึงจะไปนั่งทำหน้าคอม เราอยากให้เวลาคุณภาพกับเขาไปเลย เพราะเรารู้สึกว่าเราเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแล้วมันได้ผล มันทำให้เขาพูดรู้เรื่อง มีความเป็นเด็กที่มีเหตุผล น่ารัก เลี้ยงง่าย อย่างวันนี้บอกว่าต้องมาอาบน้ำเสร็จ ทานข้าวให้เรียบร้อย เหมือนเรามีการวางแผนสอนลูกในแต่ละวันว่าสิ่งที่น่าจะต้องทำมีอะไรบ้าง เราก็จะเหมือนได้บริหารความคาดหวังของเขาต่างๆ ได้ ทำให้งอแงน้อยลง

สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้ในการเป็นแม่

ความเสียสละ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรองจากความรัก การมีลูกทำให้เราได้รู้จักกับความรักยิ่งใหญ่อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่มีลูกก็ไม่มีทางที่จะได้รู้เลย การมีลูกมันคือความรักแบบตายแทนเขาได้ และเป็นการเสียสละที่ทำให้พบกับความสุขของชีวิต

แนะนำคุณพ่อคุณแม่ที่อ่านอยู่

  1.  ศึกษาคร่าวๆ ก่อนว่าลูกอยู่ในวัยไหน และสิ่งที่เราจะต้องดูแล และให้เขามีอะไรบ้าง เราจะได้ทราบว่าต้องเตรียมตัวแบบไหน เพราะการดูแลลูกไม่ใช่แค่เเรื่องของตำรา แต่เราต้องใช้ธรรมชาติของตัวลูก 50 เปอร์เซ็นต์ กับตำราอีก 50 เปอร์เซ็นต์ บางคนไปยึดกับตัวหนังสือจนไม่มีความสุข แต่อย่าลืมว่าชีวิตของมนุษย์มันไม่เหมือนกัน เราต้องรักษาสมดุลให้มันไปคู่กันจะได้เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข
  2. ทุกคนอยากเป็นแม่ที่ดีที่สุด แต่ก็ควรเป็นในแบบของตัวเอง อยากให้คุณแม่ทุกคนภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ก็ต้องทำเต็มที่
  3. การเลี้ยงลูกให้มีพัฒนาการที่ดีมันไม่ใด้มาจากความบังเอิญ เพราะหลายๆ อย่างที่เป็นพัฒนาการมันอยู่ที่เรา input กับลูก เช่น ลูกคนไหนพูดเก่งก็จะเพราะพ่อแม่เขาพูดเก่งด้วย มันไม่ใช่เรื่องที่อยู่ๆ เด็กคนนี้ก็พูดเก่งขึ้นมาเอง