fbpx

NEWS : พ่อแม่ต้องสังเกต เด็กจับดินสอผิดวิธี เสี่ยงภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง

Writer : Jicko
: 14 พฤศจิกายน 2565

จากการนำเครื่องวัดแรงบีบมือมาใช้ทดสอบความแข็งแรงกล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1,918 คน จาก 70 โรงเรียน ใน 6 จังหวัดพื้นที่ภาคใต้

พบว่ามีเด็กถึง 98% ที่มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ของเด็กในวัยเดียวกัน โดยปกติค่ามาตรฐานจะอยู่ที่ 19 กิโลกรัม ซึ่งจุดที่สำคัญด้วยก็คือ “ภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง” ไม่เพียง “ส่งผลต่อร่างกาย” ยัง  “ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้!!” อีกด้วย

โดยสัญญาณเตือนที่ว่าเด็กคนใดที่เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง อาจมาจากการจับดินสอที่ไม่ถูกวิธีก็ได้ ทั้งนี้เกิดจากการที่กล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง โดยรูปแบบการจับดินสอที่ผิดมีดังนี้

“กำนิ้วโป้งห่อ” โดยจะเกิดช่องว่างระหว่างโคนนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่ค่อนข้างแคบ

“กำนิ้วโป้งซุก” ที่มักจะนำนิ้วโป้งมาจับที่ตัวด้ามของดินสอ และมีช่องว่างระหว่างโคนนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่ค่อนข้างแคบ

“ใช้ข้อมือเคลื่อนไหวแทนนิ้ว” เพื่อชดเชยความไม่แข็งแรงของกล้ามเนื้อ

“เหยียดข้อต่อที่นิ้วโป้ง” เพราะขาดความมั่นคง จึงต้องจับดินสอด้วยการใช้ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลางแตะที่ตัวดินสอ

“ใช้นิ้วชี้เกี่ยวดินสอ” ที่เกิดจากการขาดความมั่นคงของกล้ามเนื้อบริเวณนิ้วโป้ง

ขณะที่การจับดินสอแบบ “ใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับดินสอจนแน่น” และ “จับด้ามดินสอไว้ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วชี้” รวมถึง “จับดินสอด้วยนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ โดยนิ้วที่เหลือซุกไว้ในฝ่ามือ”

นี่จะเป็นรูปแบบการจับดินสอที่บล็อกการเคลื่อนไหวนิ้ว อันเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมือมีความบกพร่อง เหล่านี้เป็นรูปแบบการ “จับดินสอไม่ถูกหลัก-ไม่ถูกวิธี” ที่เป็น สัญญาณเตือนให้ สังเกตได้

การจับดินสอผิดวิธีนั้น สะท้อนถึงการที่เด็กมีกล้ามเนื้อมือที่ไม่แข็งแรง ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเรียนรู้ได้ช้า เพราะเด็กมักจะเขียนหนังสือช้า และควบคุมทิศทางการเขียนไม่ได้ ทั้งยังทำงานเสร็จช้าไม่ทันเพื่อน อาจทำให้เด็กเรียนไม่รู้เรื่อง และมีภาวะเครียด จนอาจจะทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน และขาดเรียนบ่อย ซึ่งนับเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็ก  ๆ และยิ่งถ้าเด็กถูกเคี่ยวเข็ญดุด่า จะยิ่งกดดัน เครียด ยิ่งทำให้เรียนรู้ช้าไปอีก

เพราะฉะนั้น ครูและผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตและจับสัญญาณจากเด็กให้ได้ ฝึกให้เด็กจับดินสอเป็นแบบ 3 นิ้ว เขียนโดยใช้การเคลื่อนของนิ้ว ข้อมือไม่เคลื่อน ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนให้รวดเร็วขึ้น ทั้งยังฝึกระบบรับความรู้สึกและการเคลื่อนไหวให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ส่วน วิธีปรับการจับดินสอ เพื่อให้เด็กๆ สามารถจับดินสอได้ถูกวิธีมากขึ้น โดยใช้ลูกบอลหรือปั้นกระดาษเป็นก้อน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกินเหรียญ 5 บาท ให้เด็กนำไปกำไว้ในฝ่ามือ ขณะจับดินสอเขียนหนังสือ

อ้างอิงจาก : https://www.dailynews.co.th/articles/1677117/

 

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save