fbpx

NEWS : อย่าหาทำ! ห้ามบดข้าวให้เด็กทารก อายุน้อยกว่า 6 เดือนกิน แพทย์เตือน อาจถึงขั้นเสียชีวิต

Writer : Mneeose
: 12 กรกฏาคม 2565

หัวอกคนเป็นแม่แทบสลายเลยค่ะ เมื่อมาเจอกับข่าวนี้ ที่ดังใน TikTok เพียงชั่วข้ามคืน จนโดนโลกโซเชียลวิจารณ์อย่างหนัก

หลังผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปยายกำลังป้อนข้าวบดละเอียดให้กับเด็กทารกวัยแรกเกิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำนะคะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพราะอาจทำให้เด็กลำไส้แตกได้ค่ะ เนื่องจากเด็กเล็กยังย่อยข้าวไม่ได้ เมื่อทานเข้าไปทำให้ไปอุดลำไส้ไว้ เกิดการบีบแตก

ซึ่งคอมเมนต์ส่วนใหญ่ได้แสดงความเห็นว่าการทำแบบนี้อาจส่งผลเสียระยะยาวต่อเด็กได้ เพราะเด็กยังไม่ถึง 6 เดือน อาจมีปัญหาเรื่องท้อง และลำไส้

แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่เข้ามาคอมเมนต์ว่า แต่ก่อนพ่อแม่ก็ทำแบบนี้ ซึ่งพบว่า พฤติกรรมลักษณะนี้ จะมาจากการเลี้ยงดูของญาติผู้ใหญ่ในบ้าน อย่างคุณย่าคุณยาย

ด้าน ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำว่า สำหรับทารกแรกเกิด สิ่งที่ดีที่สุดคือนมแม่ เด็กแรกเกิด ถึง 6 เดือน กินนมแม่อย่างเดียวพอ ไม่ต้องกำหนดเวลา หิวเมื่อไหร่กินได้ทันที แล้วถ้าหลังจาก 6 เดือนขึ้นไป ค่อยฝึกลูกให้ทานอาหารเสริม เนื่องจากนมแม่มีสารอาหารครบทุกอย่าง จึงเหมาะที่สุดสำหรับเด็กนั่นเอง

สมัยก่อนมีพฤติกรรมหลายอย่างที่หลายคนทำแล้ว เป็นการเลี้ยงลูกไม่ถูก เช่น

  • ให้เด็กอายุ 6 อาทิตย์กินน้ำส้มคั้น เพื่อต้องการวิตามินซี สรุปเด็กติดเชื้อท้องเดิน
  • ส่วนเรื่องที่ให้เด็กแรกเกิดกินข้าวหรือข้าวเหนียว ยิ่งไม่ควรทำ เพราะร่างกายเด็กต้องการน้ำมาก หากกินข้าว เด็กอิ่มก็จริงแต่ร่างกายจะขาดน้ำ ทำให้เป็นนิ่วได้ ซึ่งทางภาคอีสานในสมัยก่อนพบเคสลักษณะนี้เยอะมาก เนื่องจากแม่ต้องไปทำนา จึงเอาข้าวเหนียวให้ลูกกินจะได้อิ่มทน แต่สิ่งที่ทานเข้าไปมีความข้นมากบวกกับได้รับน้ำที่ไม่เพียงพอ ทำให้สะสมเป็นตะกอนส่งผลให้เกิดก้อนนิ่วที่โตขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายนี้ แม่มีทริคเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินของลูกน้อยที่เหมาะสมมาฝากกันค่า

1) ให้นมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน ไม่ต้องให้อาหารอื่น แม้แต่น้ำ

2) เริ่มให้อาหารตามวัยที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ทุกวัน หลังอายุ 6 เดือน ควบคู่กับนมแม่

3) เพิ่มจำนวนมื้ออาหารตามวัยเมื่ออายุลูกเพิ่มขึ้น จนครบ 3 มื้อ เมื่ออายุ 10-12 เดือน

4) ค่อยๆ เพิ่มปริมาณ และความหยาบของอาหารขึ้นตามอายุ

5) ให้อาหารรสธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการปรุงแต่งรส

6) อาหารสะอาดและปลอดภัย

7) ให้ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มรสหวาน และน้ำอัดลม

8) ฝึกวิธีดื่มกินให้สอดคล้องกับพัฒนาการตามวัย

9) เล่นกับลูกสร้างความผูกพัน หมั่นติดตาม การเจริญเติบโตและพัฒนาการ

และสุดท้าย คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมที่จะแบ่งเวลามาดูแลลูกน้อย และหาเวลาเล่นกับลูกๆ ด้วยนะคะ เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานของความรัก รวมทั้งเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่างๆ ของลูกน้อย ด้วยนั่นเองค่ะ

 

ขอบคุณแหล่งอ้างอิง : www.pptvhd36.com

www.pptvhd36.com
Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save