fbpx

NEWS : ผลวิจัยจากฮ่องกง เด็กติดโอไมครอน BA.2 รุนแรงมากกว่าติดโควิดสายพันธุ์อื่นๆ

Writer : Jicko
: 31 มีนาคม 2565

เรียกได้ว่าเป็นช่วงสถานการณ์ที่น่ากังวลใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะพอเจ้าโควิด-19 มา ก็ทำเอาอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปเสียหมด โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของลูก ที่แต่ก่อนต้องระวังอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งต้องเฝ้าระวังกันให้มากขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อยู่ร่วมกับเรามาเกือบ 3 ปีแล้ว เชื้อไวรัสก็ได้มีการปรับตัวกลายพันธุ์มากมายที่สามารถติดต่อได้ง่ายมากขึ้น ส่งผลให้ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงนี้พบรายงานผู้เสียชีวิตเป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเองค่ะ

ล่าสุด ผลการวิจัยจากฮ่องกงเกี่ยวกับความรุนแรงของโควิดโอไมครอน BA.2 พบว่า หากเด็กติดโควิดโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 จะมีความรุนแรงมากกว่าเด็กที่ติดโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ หรือเปรียบเทียบกับโรคพาราอินฟลูเอนซา และโรคไข้หวัดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การวิจัยนับจำนวนผู้เสียชีวิตและผลลัพธ์ที่ร้ายแรงอื่นๆ ได้ในจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

โดยการวิจัยนี้ ได้เปรียบเทียบจำนวนเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโควิดสายพันธุ์ BA.2 กับสายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ ข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม 2563 – พฤศจิกายน2564) กับโรคพาราอินฟลูเอนซา (Parainfluenza) และโรคไข้หวัดใหญ่ โดยอ้างอิงข้อมูลเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยไข้หวัดใหญ่จากเวชระเบียนระหว่างเดือนมกราคม 2558 – ธันวาคม 2561

ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโอไมครอนใน มีเด็กติดเชื้อโอไมครอน BA.2 กว่า 1,147 รายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเสียชีวิต 4 ราย

สำหรับเด็กที่เสียชีวิต อายุ 11 เดือน , 3 ปี , 4 ปี และ 9 ปี โดยเด็ก 3 รายแรก มีสุขภาพดี แต่เด็กอายุ 9 ปี มีอาการกล้ามเนื้อเสื่อม (Muscular Dystrophy) และมีเด็ก 2 รายที่เสียชีวิตจากโรคไข้สมองอักเสบหรือสมองบวม ซึ่งทั้งหมดยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด

ขณะเดียวกัน ข้อมูลวิจัยบ่งชี้ว่า เด็กที่ติดโอไมครอน BA.2 ยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะสมองบวมได้สูงกว่าเด็กที่เป็นโรคพาราอินฟลูเอนซา แต่ใกล้เคียงกับเด็กที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่

เพราะฉะนั้นแล้ววิธีที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวในการปกป้องทารกและเด็กเล็กคือต้องแน่ใจว่าทุกคนรอบตัวพวกเขาได้รับการฉีดวัคซีน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าวัคซีนโควิด มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากแอนติบอดีจากวัคซีนป้องกันทั้งคุณแม่และเด็กทารกในครรภ์เป็นระยะเวลาหนึ่งหลังคลอด และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังช่วยป้องกันได้เนื่องจากแอนติบอดีส่งผ่านไปยังทารกผ่านทางน้ำนมแม่

อ้างอิงจาก : https://www.isranews.org/

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



โควิดนี้แม่ต้องรอด
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save