fbpx

รีวิวหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ 4.0 เพิ่มเทคนิค AR 3 มิติ เสริมสร้างการเรียนรู้

Writer : Lalimay
: 26 มิถุนายน 2561

หนังสือเรียนจะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็กๆ อีกต่อไป เมื่อมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยให้เด็กๆ สนุกกับการเรียน ด้วยเทคนิค AR สื่อ 3 มิติ เพียงแค่ส่องโทรศัพท์มือถือไปที่แบบเรียน ก็จะมีภาพ 3D ล้ำๆ พุ่งออกมา เรียกได้ว่าดึงดูดให้เด็กตั้งใจเรียนสุดๆ ไปดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเทคนิค AR ในหนังสือแบบเรียนจะเป็นยังไง

เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) คือการนำเสนอมุมมองในสภาพแวดล้อมจริงผสมผสานวัตถุเสมือนในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดประสบการณ์การรับรู้ที่แปลกใหม่โดยเราสามารถตอบสนองกับสิ่งที่จำลองนั้นได้ ที่เราเห็นกันได้บ่อยๆ คือในเกม Pokemon GO นั่นเอง ที่ให้ผู้เล่นรู้สึกว่าได้เห็นเจ้าตัวโปเกม่อนของจริง ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้เข้ามามีบทบาทกับการศึกษามากขึ้น โดยนำมาใช้ในหนังสือแบบเรียนของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) นั่นเอง

แต่ไม่ใช่แบบเรียนทุกเล่มจะมีการใช้เทคนิค AR โดยส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเห็นภาพของการทดลอง หรือภาพเคลื่อนไหวที่ชัดเจนและทำให้เข้าใจในบทเรียนมากขึ้น ซึ่งหนังสือเล่มไหนที่ใช้เทคนิค AR ก็จะมีสัญลักษณ์ของ AR กำกับไว้ค่ะ ทีมงาน Parents One ได้ลองหาหนังสือที่มีสัญลักษณ์ AR มาทดสอบดู โดยเราเลือกใช้หนังสือวิทยาศาสตร์ของระดับประถมและมัธยมอย่างละเล่ม ไปดูกันค่ะว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง

หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

เริ่มกันที่หนังสือของระดับชั้นประถมศึกษากันก่อน หนังสือเล่มค่อนข้างใหญ่ทีเดียว โดยข้างในเป็นการพิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม เนื้อกระดาษค่อนข้างหนาและเป็นกระดาษมัน ทำให้รู้สึกว่าน่าเรียนมากๆ ค่ะ ส่วนใหญ่ภายในหนังสือจะเน้นรูปมากกว่าตัวอักษร ค่อนข้างดึงดูดให้เด็กๆ เรียนได้มากทีเดียว ตัวหนังสือที่ใช้ก็เป็นตัวอักษรโตๆ อ่านง่าย มีรูปการ์ตูนประกอบสวยงาม

เรามาลองดูเทคนิค AR ที่เขาใช้กันดีกว่าค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องมองหาสัญลักษณ์ AR หากหน้าไหนสามารถส่องได้ก็จะมีสัญลักษณ์นี้บอกไว้ โดยจะมีคำอธิบายว่า “สื่อเสริมเพิ่มความรู้” กำกับไว้

วิธีการก็ง่ายๆ เพียงแต่ว่าจะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ใช้กับหนังสือเล่มนั้นๆ อย่างเล่มนี้เป็นของ ป.4 ก็ต้องโหลดแอปฯ ที่มีชื่อว่า “วิทย์ ป.4” จาก App Store หรือ Play Store พอดาวน์โหลดเสร็จปุ๊บ เข้าหน้าแอปฯ กด ‘สแกน AR’ ก็ไปตะลุยโลก AR กันได้เลย

และนี้คือผลลัพธ์ของเจ้า AR ค่ะ จากในรูปจะเป็นหน่วยการเรียนรู้เรื่องโลกและอวกาศ เพียงแค่เราส่องกล้องไปที่หน้าหนังสือ ก็จะมี AR เด้งขึ้นมา โดยเราสามารถหมุน เอียงซ้าย-ขวา หรือซุมเข้า-ออกได้หมดเลยค่ะ ตัว AR ก็เด้งขึ้นมาอย่างงายดาย ไม่ต้องใช้เวลานานในการรอเลย อีกทั้งภาพก็สวยงามและมีเสียงบรรยายด้วยนะคะ

หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

มาต่อกันที่หนังสือของเด็กที่โดตขึ้นมาหน่อย อย่างชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หนังสือจะหน้ากว่าของประถมอยู่นิดหน่อยแต่มีขนาดเล็กกว่า ส่วนสำคัญที่แตกต่างออกไปคือ จะมีความเป็นวิชาการเพิ่มขึ้นค่ะ สีจะเริ่มน้อยลง (แต่ก็ยังเป็นการพิมพ์ 4 สี อยู่นะ) มีตัวหนังสือเล็กลงและมีจำนวนมากขึ้น ยังดีที่ยังมีการใช้ภาพประกอบที่น่าสนใจทั้งภาพถ่ายและภาพวาด

สำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้ร่วมกับหนังสือวิทยาศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 คือ “IPST SciM1” ซึ่งสามารถโหลดได้จากทั้ง App Store และ play Store ค่ะ อย่างที่เก็นว่าตัวแอปพลิเคชันจะเริ่มจริงจัง และไม่ค่อยมีตัวการ์ตูนเหมือนของเด็กป.4 แล้วค่ะ ส่วนวิธีการใช้ก็ง่ายๆ เหมือนเดิม กดเลือก ‘สแกน AR’ แล้วไปลุยกันได้เลย

สัญลักษณ์ AR ของหนังสือเล่มนี้จะไม่ใหญ่มากและไม่มีตัวหนังสือบรรยายเหมือนของ ป. 4 แล้วค่ะ บางหน้าอาจต้องใช้เวลาหาสัญลักษณ์นี้สักหน่อย เพราะไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ เมื่อเจอสัญลักษณ์แล้วก็สแกน AR เลยค่า

และนี่ก็คือผลลัพธ์ที่ได้นั่นเอง ตัว AR ของชั้นมัธยมจะเริ่มมีลูกเล่นที่หลากหลายและจริงจังมากขึ้น รายละเอียดการให้ข้อมูลก็เพิ่มมากขึ้น หลายตัวจะเป็นเรื่องของการทดลองและอธิบายให้เด็กๆ เข้าใจได้มากทีเดียว ที่สำคัญคือ เราสามารถมีส่วนร่วมกับ AR มากขึ้นด้วยการกดตัวเลือกเพื่อแสดงผลลัพธ์ได้ด้วยค่ะ

ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ในการดึงดูดให้เด็กๆ หันมาสนใจเรียนมากขึ้น การทำแบบนี้จะทำให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนรู้และรู้สึกว่ากหนังสือเรียนไม่ได้มีแต่เรื่องน่าเบื่อ อีกทั้งคุณพ่อ คุณแม่ยังสามารถมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนได้ สำหรับราคานั้นก็ถูกแสนถูก อย่างเล่ม ป.4 ราคาเพียง 65 บาท ส่วนของ ม.1 ราคา 102 บาทเท่านั้น

จริงๆ นี่เป็นเพียงตัวอย่างแค่ 2 เล่มเท่านั้น ทางสสวท. ยังมีหนังสือเรียนที่ผสมผสานเทคนิค AR อีกหลายระดับชั้น หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนสนใจก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายหนังสือเรียนอย่างศึกษาภัณฑ์พานิชได้เลยค่ะ

เรียบเรียงโดย – ทีมงาน Parents One
Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save