fbpx

คุณแม่ผ่าคลอด หน้าเด้งเช้งวับ ไม่ผิดใช่ไหม ใครบอกที

Writer : parentsone
: 2 สิงหาคม 2560

คุณแม่ที่ตั้งใจผ่าคลอด หรือต้องผ่าคลอดโดยมีข้อบ่งชี้ต่างๆ คงต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจในการเข้าห้องผ่าตัดเป็นอย่างดี เพราะเป็นกรณีที่เรากำหนดเวลานัดหมายการคลอดได้ นอกจากความกลัวเล็กๆ กับการผ่าตัดครั้งใหญ่ในชีวิต อีกสารพัดความกังวลที่คนเป็นแม่ต้องเจอ

คงมีอีกหนึ่งเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวเป็นคำถามที่ค้างคาใจ ว่าในวันที่เราผ่าคลอดเราจะแต่งหน้าแฉล้มได้ไหมนะ หมอจะด่าไหมล่ะเธอ หรือดาราเค้าไม่ได้แต่งเพราะหน้าสดเค้าก็คงสวยกว่าเราตอนแต่งหน้าอีกป่ะ ก็มีความไม่อยากหน้าสดมากนัก เพราะจะมีรูปครอบครัวรูปแรกที่เราได้พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูกด้วย เราจึงไปรวบรวมข้อมูลมาให้อ่านกันว่าจริงๆแล้วอะไร Do อะไร  Do not

Do..

ปรึกษาหมอ


ถ้าอยากแต่งหน้าในวันผ่าคลอด สิ่งที่ควรทำคือ  ปรึกษาคุณหมอสูตินารีแพทย์ประจำของคุณว่าคุณสามารถแต่งหน้าได้หรือไม่ ถ้าได้ได้ในระดับไหน โบกรองพื้น คอนซีลเลอร์ บลัชออน มาสคาร่า ลิปติก ตบด้วยน้ำแร่เอเวียง ได้หมดเลยมั้ย หรือแค่ระเรื่อๆ พอไม่ให้หน้าโล้นพอ ถามให้ชัวร์ก่อน เพราะแต่ละโรงพยาบาลไม่เหมือนกันค่ะ ซึ่งโรงพยาบาลของรัฐบาลที่อาจไม่อนุญาตให้แต่งหน้าเข้าห้องผ่าตัด ถ้าคุณหมอคุณบอกได้ มันก็ต้องได้สิคะ

Do not ..

ถ้าผ่านด่านหมอแล้ว หมอบอกแต่งหน้าได้ก็แต่งแต่พอประมาณเถอะแม่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแต่งหน้าจัด

เพราะการแต่งหน้าจัดเข้าห้องผ่าตัด น่าจะไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง เพราะเวลาที่คุณแม่อยู่ในห้องผ่าคลอด คุณแม่จะถูกผ้าขึงเป็นสองส่วน ส่วนหัวที่มีใบหน้าสวยๆของคุณแม่นั้น จะดูแลโดยวิสัญญีแพทย์ จะคอยเช็คอาการคุณแม่ว่าในขณะนั้นเป็นยังไง ชาหรือยัง โอเคไหม หน้ามืดไหม ซึ่งคุณหมอก็น่าจะต้องสังเกตุจากสีหน้าอาการของคุณแม่ ถ้าคุณแม่โบกหน้าซะจนคุณหมอไม่อาจสังเกตุสีหน้าที่แท้จริงได้ อันนี้ก็ไม่ควรทำ

เพราะอันตรายกับคุณแม่เอง เพราะตอนที่ผู้เขียนเข้าห้องผ่าคลอด ผู้เขียนก็ไม่ได้โบกหน้า คุณหมอเดินมาถามว่าคุณแม่หน้าซีดๆ ตอนในระหว่างผ่าตัดอยู่ ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนกำลังรู้สึกหน้ามืด คล้ายจะหมดสติ จึงบอกหมอไปว่าจะเป็นลม คุณหมอจึงเอาออกซิเจนมาครอบปากจึงรู้สึกดีขึ้น ผู้เขียนจึงคิดว่าถ้าแต่งหน้ามากเกินไปอาจไม่ส่งผลดีนัก  แต่คุณหมอบางท่านก็บอกว่าท่านดูจากอย่างอื่นประกอบได้ เช่น สีเล็บ อวัยวะส่วนอื่นๆ จึงปล่อยให้หน้าของคุณแม่นั้นสวยเช้งวับได้ เอาที่คุณแม่สะดวก หมอกล่าว

โดยความเห็นส่วนตัวผู้เขียน ผู้เขียนคิดว่า ถ้าอยากให้รูปที่ออกมาแม่ไม่ดูแย่จนเกินไป ก็เขียนคิ้วให้หน้าดูมีอะไรก็น่าจะเพียงพอ  เพราะคิ้วคือมงของหน้า ในวินาทีแรกที่เราได้ถ่ายรูปพ่อแม่ลูกกัน เราได้เอาหน้าแนบกันกับเจ้าตัวน้อย เราคงไม่อยากเอาเครื่องสำอางค์ที่เป็นสารเคมีไปตกบนผิวลูกน้อยที่เราทะนุถนอมมาแรมปี

เอาจมูกที่โบกรองพื้นไปจรดแก้มบางๆของลูกน้อย เพียงเพราะคุณแม่อยากสวยหรอกนะคะ ในข้อสงสัยนี้สรุปง่ายๆว่า ทำได้แต่พอดีๆ ทางสายกลาง นะแม่นะ คนที่เป็นแม่ในวันคลอดลูกน่ะ งดงามทุกคนในสายตาลูก สายตาพ่อของลูก คุณคือนางฟ้าแน่นอนเลยค่ะ อย่ากังวลจนมากไปนะคะ แล้วอีกอย่างคุณแม่อาจดีใจที่ได้เจอหน้าเจ้าตัวน้อย น้ำตาแห่งความปิติอาจไหลออกมา และคุณคงไม่สนใจแล้วล่ะว่าตอนนั้นคุณจะดูสวยหรือไม่ จริงๆนะคะ เชื่อป่ะ

 บทความร่วมกับเพจ โอ้..มายลูก
Writer Profile : parentsone

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว
12 สิงหาคม 2560
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save