fbpx

ช่วงเวลายาขมแปลงกาย! 5 กลเม็ดเด็ดพาเด็ก ๆ สนุกกับการกินยา

Writer : Phitchakon
: 30 กันยายน 2565

แค่พูดคำว่า “ยา” ลูกก็เบือนหน้าหนีแล้ว จะบังคับขู่เข็ญให้กินก็สงสารลูกเหลือเกิน แต่บทจะให้ปล่อยไปเฉยๆ ก็จะพาลไม่หายป่วยเอาน่ะสิ วันนี้ขอชวนคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านมาเปลี่ยนช่วงเวลายาขมให้สนุกสนาน กลายเป็นวินาทีที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ด้วย 5 กลเม็ดง่ายๆ เหล่านี้ที่ไม่ว่าใครใครบ้านไหนไหนก็ทำได้ เสกปิ๊งเรียกความสนุกได้ราวกับมีเวทมนตร์ ลองนำไปปรับใช้กันดูนะคะ

1. ทำความรู้จักอุปกรณ์ : ก่อนที่จะป้อนยาให้เวลาลูกได้ลองจับ ลองสัมผัสอุปกรณ์ในการป้อนยา เช่น กระบอกฉีดยา ที่หยอดจมูก หรือถ้วยตวงยา เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย และได้รู้ว่าอุปกรณ์เหล่านี้ปลอดภัย ไม่ทำให้เจ็บ ไม่น่ากลัว แถมยังนำพายาเข้าไปในร่างกาย ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย ทำให้ลูกแข็งแรงอีกด้วย

2. สีสันสวยงาม ดึงดูดใจ : ไม่ว่าจะยาน้ำหรือยาเม็ดก็มักจะมีสีชัดเจนเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยจำแนกได้ มองเผินๆ ยาบางชนิดก็มีสีสันน่ารักด้วยซ้ำไป คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้จุดเด่นข้อนี้ของยามาดึงดูดความสนใจของลูก ชี้ชวนให้ดูว่ามียาสีอะไรบ้าง และให้ลูกลองเรียงลำดับว่าอยากจะเริ่มกินยาสีไหนก่อน แต่ก็ต้องคอยควบคุมดูแลการกินยาอย่างใกล้ชิดและย้ำกับลูกเสมอนะคะว่านี่คือยา ไม่ใช่ขนมหวานที่จะหยิบกินตามใจชอบได้

3. รับบทนักรีวิวกันซะหน่อย : “สวัสดีค่ะ วันนี้ไม่สบาย คุณหมอให้ยามาเยอะแยะเลย มาดูกันสิคะว่ามียาอะไรบ้าง!” ดู YouTube เล่น TikTok อยู่บ่อยๆ เชื่อว่าเด็กๆ คงจะมีสกิลติดตัวมาไม่น้อย ลองให้ลูกสวมบทบาทเป็นนักรีวิว กินยาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้พ่อแม่ฟังได้ไหม ถือเป็นการชวนคุยสะท้อนความรู้สึกของลูกไปในตัว งานนี้คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมใช้สกิล Acting ยิ่งใหญ่เข้ามาร่วมด้วย เพื่อความสนุกสนาน ตื่นเต้นยิ่งขึ้นนะคะ

4. มอบคำชมเป็นรางวัล : คำชมของคุณพ่อคุณแม่มีความหมายต่อจิตใจของลูกเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถเอ่ยปากชื่นชมลูกได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวเขาเหลิงเลยค่ะ แม้แต่กับเรื่องการกินยา เพราะสำหรับเด็กๆ แล้ว การต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือกลัวเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้ามากทีเดียว

5. เป้าหมายมีไว้พุ่งชน! : ช่วงโค้งสุดท้ายของการกินยา อย่าลืมอัปเดตความคืบหน้าให้ลูกฟังว่าตอนนี้กินยาไปมากเท่าไรแล้ว จะต้องกินอีกกี่ครั้ง กินอีกแค่ไหน และคอยแสดงความยินดีอย่างตื่นเต้นทุกครั้งที่ยาลดลง เพื่อให้ลูกมีกำลังใจ มีความหวังว่าการกินยาใกล้จะจบลงในอีกไม่นาน

วิธีทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเหมาะกับเด็กๆ ที่เริ่มสื่อสารโต้ตอบได้แล้ว แต่สำหรับเด็กเล็กก็ต้องลองปรับประยุกต์เทคนิคกันไป หวังว่า 5 วิธีที่ Parents One นำมาฝากวันนี้ จะช่วยคุณพ่อคุณแม่ได้ไม่มากก็น้อย และหวังว่าช่วงเวลากินยาที่เด็กๆ เคยร้องไห้จ้า เบะปากหันหนี จะกลายเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ได้เรียนรู้และเติบโตนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจากประสบการณ์ตรงของพี่กิ๊ฟ คุณแม่น้องอาโปและน้องอาญ่าค่ะ
Writer Profile : Phitchakon

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save