fbpx

5 สิ่งที่ไม่ควรทำกับคู่ชีวิตในตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้า

: 7 กรกฏาคม 2564

ด้วยภาระหน้าที่หลายๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต บางครั้งเราอาจจะลืมใส่ใจคนรอบข้างไปบ้าง เราอาจจะลืมบอกรัก หอมแก้ม หรือขอบคุณคู่ชีวิตของเรา การแบ่งเบาภาระให้คู่รักของเราไม่ใช่เรื่องง่าย และบางครั้งความเหนื่อยล้าก็อาจทำให้เราเผลอทำร้ายความรู้สึกของคนใกล้ชิดโดยไม่รู้ตัว

ความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มต้นจากการสื่อสารที่โปร่งใสและซื่อตรง วันนี้ Parents One จะมาแนะนำ 5 สิ่งที่ไม่ควรทำกับคู่ชีวิตเมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์และความรู้สึกดี ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

 

เอาทุกอย่างมาใส่ใจ

คือการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำ แล้วคิดว่าเขาตั้งใจทำเพื่อให้เรารู้สึกไม่ดี นอกจากจะทำให้เพิ่มความเครียดและความรู้สึกแย่ๆ โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์ของเราและคู่ชีวิตสั่นคลอนจากการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย

ช่างติเตียน

เมื่อเราขออะไรจากเขาแล้วติเตียนเขาในการกระทำหรือผลลัพธ์ที่ได้ออกมา การติเพื่อก่อเป็นสิ่งที่ดี แต่การติเตียนเพื่อระบายอารมณ์นอกจากจะทำร้ายความรู้สึกของคนที่มาช่วยแล้ว ยังทำให้เขาไม่กล้าที่จะเอื้อมมือให้ความช่วยเหลือในอนาคต ด้วยกลัวว่าจะถูกติเตียนอีกค่ะ

เก็บทุกเม็ด

การให้คนรักของเราช่วยแบ่งเบาภาระนั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องมีคือความเชื่อใจค่ะ ซึ่งการเก็บทุกเม็ด เฝ้าดูว่าอีกฝ่ายช่วยทำหน้าที่อย่างถูกวิธีทุกขั้นตอนหรือไม่นั้นสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดัน และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเชื่อใจอย่างที่สมควรจะเป็น

ใจร้อน

คือการคาดหวังให้อีกฝ่ายทำหน้าที่ให้เสร็จในเวลาของเราเอง ซึ่งเป็นการกดดันอีกฝ่ายทางอ้อมรูปแบบหนึ่ง ทางที่ดีในการขอร้องให้คนรักของเราช่วยแบ่งเบาภาระ คือเราต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำในเวลาของเขาเช่นกัน ให้พบกันคนละครึ่งทางนั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าค่ะ

เก็บแต้มแข่งกัน

คือการนั่งนับแต้มว่าใครทำหน้าที่มากกว่า น้อยกว่ากันนั่นเอง แน่นอนว่าการใช้ชีวิตร่วมกันนั้นหมายความว่าเราควรพบกันคนละครึ่งทาง ช่วยเหลือกันอย่างเท่าเทียม แต่การนับแต้มนั้นเป็นการกดดันอีกฝ่ายว่าใครเป็นคนทำมากกว่า ทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดได้

แล้วแก้ปัญหายังไงดีล่ะ?

ความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มต้นจากความโปร่งใสและความจริงใจต่อคู่รักของเราค่ะ เมื่อคนใดคนหนึ่งรู้สึกเครียด หรือรู้สึกไม่ดีกับความสัมพันธ์นั้น แปลว่าเขาหรือเรามีสิ่งที่ต้องการ หรือความรู้สึกที่ไม่ได้รับการเติมเต็มนั่นเอง

วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการจับเข่าคุยกัน เขียนภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ทั้งสองคนทำในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์ แต่ละเดือน แล้วปรึกษากันว่าปริมาณหน้าที่ที่ได้รับนั้นยุติธรรมหรือไม่ หาทางแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกันจนพบจุดกึ่งกลางที่ทั้งคู่พึงพอใจค่ะ

แน่นอนว่าบางครั้งเราอาจรู้สึกผิดกับการขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อที่ทำงานมาหนัก หรือคุณพ่อไม่กล้าช่วยเหลือคุณแม่เพราะกลัวทำได้ไม่ดี อย่าลืมว่าการถามครอบครัวเพื่อขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องผิด และคนคนเดียวไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง หากเราพูดคุยด้วยความเข้าใจ และช่วยเหลือเกื้อหนุนกัน ก็จะสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีได้ค่ะ

Writer Profile : phanthirapuyou

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save