ด้วยภาระหน้าที่หลายๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต บางครั้งเราอาจจะลืมใส่ใจคนรอบข้างไปบ้าง เราอาจจะลืมบอกรัก หอมแก้ม หรือขอบคุณคู่ชีวิตของเรา การแบ่งเบาภาระให้คู่รักของเราไม่ใช่เรื่องง่าย และบางครั้งความเหนื่อยล้าก็อาจทำให้เราเผลอทำร้ายความรู้สึกของคนใกล้ชิดโดยไม่รู้ตัว
ความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มต้นจากการสื่อสารที่โปร่งใสและซื่อตรง วันนี้ Parents One จะมาแนะนำ 5 สิ่งที่ไม่ควรทำกับคู่ชีวิตเมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์และความรู้สึกดี ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ค่ะ
เอาทุกอย่างมาใส่ใจ
คือการเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำ แล้วคิดว่าเขาตั้งใจทำเพื่อให้เรารู้สึกไม่ดี นอกจากจะทำให้เพิ่มความเครียดและความรู้สึกแย่ๆ โดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์ของเราและคู่ชีวิตสั่นคลอนจากการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย
ช่างติเตียน
เมื่อเราขออะไรจากเขาแล้วติเตียนเขาในการกระทำหรือผลลัพธ์ที่ได้ออกมา การติเพื่อก่อเป็นสิ่งที่ดี แต่การติเตียนเพื่อระบายอารมณ์นอกจากจะทำร้ายความรู้สึกของคนที่มาช่วยแล้ว ยังทำให้เขาไม่กล้าที่จะเอื้อมมือให้ความช่วยเหลือในอนาคต ด้วยกลัวว่าจะถูกติเตียนอีกค่ะ
เก็บทุกเม็ด
การให้คนรักของเราช่วยแบ่งเบาภาระนั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องมีคือความเชื่อใจค่ะ ซึ่งการเก็บทุกเม็ด เฝ้าดูว่าอีกฝ่ายช่วยทำหน้าที่อย่างถูกวิธีทุกขั้นตอนหรือไม่นั้นสามารถทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดัน และรู้สึกว่าไม่ได้รับความเชื่อใจอย่างที่สมควรจะเป็น
ใจร้อน
คือการคาดหวังให้อีกฝ่ายทำหน้าที่ให้เสร็จในเวลาของเราเอง ซึ่งเป็นการกดดันอีกฝ่ายทางอ้อมรูปแบบหนึ่ง ทางที่ดีในการขอร้องให้คนรักของเราช่วยแบ่งเบาภาระ คือเราต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำในเวลาของเขาเช่นกัน ให้พบกันคนละครึ่งทางนั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าค่ะ
เก็บแต้มแข่งกัน
คือการนั่งนับแต้มว่าใครทำหน้าที่มากกว่า น้อยกว่ากันนั่นเอง แน่นอนว่าการใช้ชีวิตร่วมกันนั้นหมายความว่าเราควรพบกันคนละครึ่งทาง ช่วยเหลือกันอย่างเท่าเทียม แต่การนับแต้มนั้นเป็นการกดดันอีกฝ่ายว่าใครเป็นคนทำมากกว่า ทำให้ความสัมพันธ์ตึงเครียดได้
แล้วแก้ปัญหายังไงดีล่ะ?
ความสัมพันธ์ที่ดีเริ่มต้นจากความโปร่งใสและความจริงใจต่อคู่รักของเราค่ะ เมื่อคนใดคนหนึ่งรู้สึกเครียด หรือรู้สึกไม่ดีกับความสัมพันธ์นั้น แปลว่าเขาหรือเรามีสิ่งที่ต้องการ หรือความรู้สึกที่ไม่ได้รับการเติมเต็มนั่นเอง
วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการจับเข่าคุยกัน เขียนภาระหน้าที่ต่างๆ ที่ทั้งสองคนทำในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์ แต่ละเดือน แล้วปรึกษากันว่าปริมาณหน้าที่ที่ได้รับนั้นยุติธรรมหรือไม่ หาทางแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกันจนพบจุดกึ่งกลางที่ทั้งคู่พึงพอใจค่ะ
แน่นอนว่าบางครั้งเราอาจรู้สึกผิดกับการขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อที่ทำงานมาหนัก หรือคุณพ่อไม่กล้าช่วยเหลือคุณแม่เพราะกลัวทำได้ไม่ดี อย่าลืมว่าการถามครอบครัวเพื่อขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องผิด และคนคนเดียวไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง หากเราพูดคุยด้วยความเข้าใจ และช่วยเหลือเกื้อหนุนกัน ก็จะสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีได้ค่ะ