fbpx

NEWS: ระวังเด็กเล็กเป็นโรคตาแดง โรคระบาดทางตาที่มาพร้อมหน้าฝน

Writer : Lalimay
: 7 มิถุนายน 2561

“โรคตาแดง” เป็นหนึ่งโรคยอดฮิตที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าฝน โดยในแต่ละปีมักจะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่หากละเลยไม่ป้องกันหรือดูแลรักษาสุขภาพให้ดี เมื่อมีอาการของโรคตาแดงแล้ว อาจติดเชื้อแทรกซ้อนที่รุนแรงทำให้ตาพิการได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคตาแดงพบได้บ่อยในเด็กเล็กและนักเรียนชั้นประถมศึกษา และสามารถติดต่อได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ภูมิแพ้ เกสรดอกไม้ ฝุ่น ควัน หรือถูกสารเคมี แต่ที่พบได้บ่อยและติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็วคือโรคเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มอาดิโนไวรัส โดยเชื้อจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนน้ำตา ขี้ตาของผู้ป่วย

การติดต่อของโรคแบ่งได้ 3 ลักษณะได้แก่

1. จากมือที่ไปสัมผัสน้ำตา ขี้ตาของผู้ป่วยที่อาจติดอยู่ตามสิ่งของ พื้นผิวต่างๆขณะที่ยังไม่แห้ง เช่น ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวรถเมล์ ฯลฯ รวมทั้งใช้ของส่วนตัวของผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แล้วมือนั้นมาสัมผัสเข้าที่ตา

2. จากแมลงหวี่ แมลงวัน ที่ตอมสิ่งสกปรกหรือตอมตาของผู้เป็นตาแดงแล้วไปตอมตาคนอื่นต่อ

3. จากเด็กที่ลงเล่นในน้ำท่วมขังซึ่งน้ำจะมีการปนเปื้อนเชื้อโรคตาแดงได้สูง

สำหรับอาการคือ จะมีอาการตาแดงเฉียบพลัน เคืองตามาก เคืองแสง  เจ็บตา  น้ำตาไหล  ตาบวม  มักไม่มีขี้ตาหรือมีขี้ตาเป็นเมือกใสๆ  เล็กน้อย  ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมาจึงจะมีขี้ตามาก ตอนแรกอาจเป็นข้างเดียว ต่อมาอีก 2-3 วัน อาจลุกลามเป็นกับตาอีกข้างหนึ่งได้  จะเป็นมากในช่วง 4-7 วันแรก และจะหายได้เองภายใน 7-14 วัน โรคนี้ไม่มียารักษาเฉพาะ จะรักษาตามอาการ ไม่มีอันตรายรุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกอาจติดเชื้อ ทำให้ตาพิการได้

หากเป็นโรคตาแดงแล้ว มีโอกาสแพร่เชื้อห้ผู้อื่นนานถึง 2 สัปดาห์ เพื่อป้องการกันแพร่เชื้อ ควรหยุดเรียน รักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างน้อย 3 วัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พ่อแม่และโรงเรียนควรคัดกรองนักเรียนทุกวัน หากพบว่ามีความผิดปกติก็ควรคัดแยกเด็ก จะได้ไม่ไปติดคนอื่น

การป้องกันโรคตาแดงหัวใจสำคัญคือความสะอาด โดยขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลี และไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยที่มีอาการตาแดง ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ ก่อนเอามือสัมผัสหรือขยี้ตา รักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีเด็กอยู่เยอะ อย่างโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก

อ้างอิงจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save