fbpx

พ่อแม่ควรแยกห้องนอนกับลูกเมื่อไหร่กันนะ ?

Writer : Jicko
: 23 มีนาคม 2563

พ่อแม่ไทยอย่างเราการแยกห้องนอนลูกจะแตกต่างจากพ่อแม่ทางฝั่งตะวันตก บ้านเรามักจะไม่ค่อยแยกห้องนอนลูกกันเท่าไหร่ บางคนแยกห้องนอนอีกทีลูกก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่สงสัยกันไหมคะว่า เราจำเป็นต้องแยกห้องนอนลูกหรือไม่ แล้วช่วงอายุเท่าไหร่ถึงจะแยกห้องนอนลูกได้ วันนี้เราจะมาบอกคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ ไปดูกันเลย

จริงๆ แล้วการแยกห้องนอนลูกก็ไม่ได้ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรที่ตายตัว หรือตัวเลขอายุของลูกที่เป๊ะๆ ขนาดนั้นหรอกนะคะ แต่ในครอบครัวต่างชาติเขามักจะแยกห้องนอนลูกตั้งแต่ยังเป็นเบบี๋กันเลย หรืออายุประมาณ 6 เดือนขึ้นไปนั้นเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจจะคิดว่าเด็กไป เดี๋ยวลูกเกิดอันตราย แต่ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ เพราะสมัยนี้เราสามารถติด baby monitor ไว้ดูเด็กๆ ได้ตลอดเวลา

แต่ถ้าเป็นเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย คุณพ่อคุณแม่อาจจะถามความสมัครใจของเขาดูก่อนก็ได้ค่ะ ว่าลูกพร้อมไหมในการแยกห้องนอน ซึ่งอย่างช้าสุดการแยกห้องนอนของลูกก็ไม่ควรให้เกินอายุ 3 ขวบค่ะ เพราะไม่อย่างงั้นการแยกห้องนอนจะยากขึ้นนั้นเอง

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรหากอยากให้ลูกเริ่มแยกห้องนอน

ในช่วงคืนแรกเชื่อได้เลยว่า อาจจะเป็นสิ่งที่ยาก และวุ่นวาย หรือพ่อแม่บางคนอาจจะเป็นกังวลและยังห่วงลูกได้ ทำให้พ่อแม่บางคนอาจจะให้ลูกอยู่ห้องเดียวกับเราไปก่อน แต่มีการแยกเตียง เพื่อให้เขาได้ปรับตัวก่อนจะแยกห้องนอน ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการแยกห้องนอนนั้นก็คือ บรรยากาศที่รู้สึกปลอดภัยกับเด็กๆ นั้นเอง ซึ่งเรามาดูกันเลยดีกว่าว่า จะทำอย่างไรบ้าง หากอยากให้ลูกได้เริ่มแยกห้องนอน

1.เลือกคืนที่เหมาะสม

พ่อแม่ควรเลือกคืนที่เหมาะสมที่จะพาเขาแยกห้องนอน อย่างวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ทั้งครอบครัวหยุดอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน อาจจะมีการบอกลูกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าพรุ่งนี้เราจะแยกห้องนอนกันนะลูก หรือช่วงก่อนอย่างตอนกลางวันของคืนนั้นก็ยังได้ ให้คุณพ่อคุณแม่อธิบายถึงการแยกห้องนอนว่าทำไมเขาถึงต้องแยกห้องนอน เช่น เพราะเพื่อนๆ ที่อายุเท่าลูกเขานอนในห้องของตัวเองกันหมดแล้ว เป็นต้น หรือถามความสมัครใจลูกก่อนก็เป็นสิ่งที่ดีค่ะ

 

2.ค่อยๆ ให้ลูกได้เตรียมใจ

ก่อนที่จะพาลูกเข้าห้องนอนของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องพาเขาเข้าไปสำรวจรอบๆ ห้องเสียก่อน เพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย หรือหากเขาเกิดกลัวขึ้นมากลางดึก คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องพร้อมที่จะเข้าไปหาเขา เพื่อให้เขารู้สึกว่าเรายังอยู่ใกล้ๆ และที่นั้นปลอดภัยเสมอค่ะ หรือในระยะแรกๆ อาจจะต้องมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาจนกว่าเขาจะหลับ เพื่อให้เขารู้สึกอุ่นใจนั้นเอง

 

3.ให้ของแทนใจ

หากไม่อยากให้ลูกรู้สึกเหงา หรือไม่ปลอดภัย หรือไม่คุ้นชินกับการนอนคนเดียว คุณพ่อคุณแม่อาจจะนำของหรืออะไรบางอย่างที่เป็นของประจำตัวของแม่ เช่น หมอน หรือเสื้อตัวนุ่มๆ หรือตุ๊กตา ที่ทำให้ลูกรู้สึกอุ่นใจว่าเราอยู่ใกล้ๆ ลูก ก็ทำให้เขานอนแยกห้องนอนได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

4.เตรียมห้องนอนในฝันให้ลูก

หากลูกมีของเล่นหรือตุ๊กตาตัวโปรด ของเล่นเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการที่จะให้เขาได้แยกห้องนอน หากเป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อย คุณพ่อคุณแม่อาจจะให้เขาได้มีโอกาสได้เดินเลือกของประดับตกแต่งต่างๆ ภายในห้องของตัวเองได้ เพื่อให้เขา

 

5.พ่อแม่ต้องใจแข็งพอ

หากลูกทำไม่ได้ ให้นอนคนเดียวทีไร ก็แอบเข้ามานอนให้ห้องของคุณพ่อคุณแม่กลางดึกทุกที ซึ่งเด็กๆ มักจะทำอย่างนั้นกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องใจแข็งนะคะ พยายามพาเขากลับไปนอนในห้องของตัวเองอย่างใจเย็น ห้ามดุหรือด่า หรือบังคับ ให้ค่อยๆ พาเขาไปนอนอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรืออาจจะลองยืนอยู่หน้าประตูห้อง รอดูเขาสักครู่ แล้วค่อยๆ เดินกลับห้อง ช่วงแรกๆ ต้องเข้าใจลูกหน่อยนะคะ เพราะมันจะเป็นแบบนี้อยู่ช่วงแรกๆ เท่านั้น อาจจะมีสถานการณ์แบบนี้อีกบ่อยๆ แต่เดี๋ยวเขาก็ชินได้เองค่ะ

 

6.ชื่นชมเมื่อลูกทำได้

หลังจากที่ลูกได้ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ เมื่อคืนได้แล้ว ในตอนเช้าที่พบกัน คุณพ่อคุณแม่ก็อาจจะต้องมีคำชมเชยให้กับลูกบ้างเมื่อเขาทำได้ เพราะมันจะทำให้เขามีกำลังใจและคิดว่าถึงแม้เราจะแยกห้องกับพ่อแม่แล้ว แต่ยังไงพ่อแม่ก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน ต่อไปเขาก็จะภาคภูมิใจแล้วว่า เขาสามารถปรับตัวนอนเตียงคนเดียวและห้องของเขาได้แล้วโดยไม่มีพ่อแม่นั้นเอง

ข้อดีของการแยกห้องนอนให้ลูก

  • สามารถควบคุมเรื่อง สิ่งกระตุ้นต่างๆ อย่างแสง เสียง ที่มีผลทำให้เขาตื่นง่ายได้ดีกว่าการนอนรวมกับพ่อแม่
  • ฝึกให้เขาได้คุ้นเคยกับห้องของตัวเองได้ง่ายกว่าการฝึกนอนแยกห้องตอนโต
  • พ่อแม่มีเวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น
  • หากเป็นพ่อแม่ที่นอนดิ้น ก็จะสบายใจขึ้น เพราะจะได้ไม่เผลอนอนทับลูก

ข้อเสียของการแยกห้องนอนให้ลูก

  • ยากลำบากหากลูกหิวนมกลางดึก เพราะต้องคอยลุกขึ้นมาดูลูกในอีกห้อง เช่นเดียวกับการร้องไห้
  • มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหลับไม่ตื่นในทารกได้มากกว่าเพราะไม่มีคนคอยดูแลใกล้ๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Baby & Kids , Line today, Rakluke

 

 

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ความสุขของ คนเป็นพ่อ คืออะไร?
ชีวิตครอบครัว
Update
ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์
เคยกลับบ้านมาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านเพราะเจ้าตัวแสบไปวิ่งเล่นเลอะเทอะกันไหมคะ ? หรือแต่งตัวลูกอย่างดีไปทานข้าวนอกบ้าน แต่คุณลูกก็ทำซอสหกใส่ ไอติมหล่นไปเป็นก้อน เละทั้งตัว วันนี้ ParentsOne มีเสื้อเด็กที่เจ๋งมากๆ จาก GQ : the good day lab™ มาลองรีวิวให้ได้ชมกันค่ะ 🛒 ช้อปเลยที่ -> https://gqsize.link/bZT7Sx แกะกล่อง GQ : the good day lab™ เสื้อเด็ก ฟีเจอร์เพียบ คุณภาพ GQ ขึ้นชื่อว่า GQ ก็มั่นใจได้เรื่องคุณภาพค่ะ ผ้านุ่ม เบาบาง เหมาะกับอากาศเมืองไทย ใส่วิ่งสบายๆ ที่แปลกตาคือเป็นเสื้อที่ไม่มีป้ายแท็กค่ะ ทั้งด้านหลังคอเสื้อ หรือข้างใน ไม่ต้องห่วงว่าจะเคืองหรือคันเลย กระดุมแข็งแรงเอามากๆ ใช้แรงผู้ใหญ่ดึงแรงๆ ก็ไม่มีปัญหาเลย ไฮไลท์สำคัญที่คุณแม่แทบกรี๊ด คือเป็นไม่เปื้อนค่าาาา เทน้ำ เทนมใส่เสื้อ ไม่เปียกเลย สะบัดสองที หายปกติ ซึ่งถ้าใครเคยเห็นโฆษณา GQ ที่เสื้อเชิ้ตขาวไปทำงานคุณพ่อ โดนกาแฟหกใส่ แต่ผ้าไม่เปื้อนเลย เทคโนโลยีผ้าสะท้อนน้ำ ตอนนี้มาอยู่ในเสื้อเด็กแล้ววววว ทีมงานทดสอบเทน้ำสีผสมอาหาร นม หรือแม้แต่ซอสมะเขือเทศลงบนเสื้อ ก็ไม่เปื้อนค่ะ ไม่น่าเชื่อมากๆ ข้อดีที่สุดของผ้าแบบนี้ คือทำให้ชีวิตคุณแม่สบายขึ้นมาก พาลูกไปเที่ยว วิ่งเล่นสนามหญ้า พาไปทานก๋วยเตี๋ยว หรือให้ทานอะไร ก็ไม่ต้องกลัวเสื้อสวยๆ เลอะ แถมประหยัดเวลาซักผ้าด้วย ไม่ต้องมาคอยแช่ผ้าให้คราบมันออกแบบสมัยก่อน สำหรับเสื้อเด็ก the good day lab™…
8 ธันวาคม 2566

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save