fbpx

NEWS : ผลสำรวจพบ เด็กไทยแบกกระเป๋าหนักเกิน ควรสะพายไม่เกิน 10-20 % ของน้ำหนักตัว

Writer : Jicko
: 1 มิถุนายน 2565

คุณแม่เองก็คงเคยนะคะว่า เด็กๆ บางคนแบกกระเป๋าใบใหญ่โตเพื่อไปโรงเรียน เรียกได้ว่าเป็นภาพจำที่ติดตาสำหรับเด็กไทยไปแล้ว ยิ่งช่วงนี้เด็กๆ เปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบจากที่ปิดไปแบบยาวนาน ทำให้หลายๆ หน่วยงานเกิดความเป็นห่วงในเรื่องนี้

ซึ่งข้อมูลจากกรมการแพทย์ระบุว่า เด็กควรสะพายกระเป๋านักเรียนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 10-20 % ของน้ำหนักตัว เช่น หากเด็กมีน้ำหนัก 30 กก. น้ำหนักกระเป๋าที่เด็กถือได้ต้องไม่เกิน 3 กก. เท่านั้น

ข้อเสียของการที่เด็ๆ แบกกระเป๋าคือ

ในช่วงวัยอนุบาลหรือประถมต้น

เด็กจะยังมีการทรงตัวของร่างกายได้ยังไม่ค่อยแข็งแรง อาจเสี่ยงทำให้เด็กล้มง่าย เดินลำบาก และเสี่ยงบาดเจ็บทั้งจากการล้มและกล้ามเนื้อหรือโครงสร้างร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการแบกกระเป๋าได้

ในช่วงเด็กที่โตขึ้น

เสี่ยงก่อผลเสียต่อร่างกายทั้งการบาดเจ็บในระยะสั้นและระยะยาว โดยกระเป๋าที่หนักไปทำให้กระดูกสันหลังโค้ง ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ บางคนเป็นระยะสั้นๆ บางคนอาจเป็นเรื้อรัง ในระยะยาวอาจมีผลต่อพัฒนาการด้านความสูงของเด็กได้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีการทดสอบของศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า

  • เด็กที่แบกกระเป๋าน้ำหนักตั้งแต่ 20% ของน้ำหนักตัวเด็กและทำการเอกซเรย์ พบว่า ทำให้กระดูกสันหลังเด็กโค้งผิดปกติ กระดูกสันหลังมีรูปร่างคดคล้ายตัวเอส โดยบริเวณที่พบกระดูกสันหลังคดอยู่ในระดับอกต่อกับเอว
  • ทำให้มีผลกระทบกับเด็กในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเรื้อรัง ปัญหาสุขภาพจิต ความเครียด ทำให้ประสิทธิภาพการเรียนลดลงด้วย
  • กระทบบุคลิกภาพของเด็กตั้งแต่เล็กจนโต หากเด็กได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างทางร่างกาย จนกระทบบุคลิกภาพของเด็ก ทำให้เสียโอกาสด้านสังคมและพัฒนาการอื่นๆ ตามมา

คำแนะนำเพื่อลดปัญหา

  • ครูอนุญาตให้เด็กเก็บหนังสือบางส่วนไว้ที่โรงเรียนได้ อีกทั้งควรบอกว่าหนังสือเล่มใดใช้วันไหนไว้อย่างชัดเจน เพราะบางวิชามีหนังสือหลายเล่ม
  • พ่อแม่ต้องหมั่นดูแลกระเป๋าลูก ไม่ว่าจะเป็นการจัดตารางสอน เพื่อลดปัญหากระเป๋าที่หนักเกิน
  • ในเด็กเล็กให้ใช้กระเป๋าสะพายหลังมากกว่ากระเป๋าถือ ดยควรสะพายบนบ่าทั้ง 2 ข้าง ไม่สะพายข้างเดียว ใช้สายกระเป๋าเส้นใหญ่ ปรับสายให้พอดี ให้กระเป๋าแนบลำตัว ให้ก้นกระเป๋าอยู่ระดับเอว นอกจากนี้ควรจัดของหรือหนังสือในกระเป๋าโดยนำของที่มีน้ำหนักมากวางชิดหลัง วางให้สมดุล ไม่ถ่วงไปด้านใดด้านหนึ่ง
  • ทางโรงเรียนควรส่งเสริมให้คุณครูทุกคนช่วยเหลือเด็กให้แบกกระเป๋าเฉพาะของที่จำเป็นจริงๆ

โดยน้ำหนักกระเป๋าที่เหมาะสมสำหรับเด็กคือ

  • สำหรับนักเรียน ป.1-2 ควรแบกไม่เกิน 3 กก.
  • นักเรียน ป.3-4 ควรแบกไม่เกิน 3.5 กก.
  • นักเรียน ป.5-6 ควรแบกไม่เกิน 4 กก.

อ้างอิงจาก : https://news.ch7.com/

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save