fbpx

ทำไมพ่อแม่(บางคน)ถึงชอบทำร้ายลูก

Writer : Jicko
: 29 ตุลาคม 2564

การเลี้ยงลูกด้วยความรัก แน่นอนว่าเป็นผลดีต่อตัวเด็กอย่างแน่นอน และพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะพยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด แต่ในทางกลับกันก็มีพ่อแม่ที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น และมักจะพยายามทำร้ายหรือระบายอารมณ์กับลูกเสมอ เหมือนอย่างข่าวต่างๆ ที่เราเองก็ได้รับรู้กันมาบ้างในช่วงนี้ แล้วอะไรคือสาเหตุที่พ่อแม่บางคนมักจะทำพฤติกรรมทำร้ายลูกล่ะ วันนี้เราจะพาไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ

การวิจัยพบว่า

90% ของผู้กระทำ ไม่ได้มีความผิดปกติทางจิต แต่มักเป็นคนโดดเดี่ยว อ้างว้าง ไร้ความสุข ซึมเศร้า โกรธง่าย มีความกดดันมาก หรือมีปัญหาด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดความซึมเศร้า

สาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ (บางคน) ทำร้ายลูก

1. พ่อแม่มีประสบการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นมาก่อน : การที่พ่อแม่ทำร้ายลูกเพราะเขาเชื่อว่าการกระทำของตนเป็นการแสดงถึงการมีอำนวจและการควบคุมชีวิตของตนเองได้

2. ไม่รู้วิธีการเป็นพ่อแม่ที่ดี : พ่อแม่บางคนจะไม่รู้วิธีการจัดการกับลูก ทำให้บางคนมีอารมณ์โกรธจนลืมตัวและทำร้ายลูกในที่สุด หรือพ่อแม่บางคนขาดความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการปกติของเด็ก เช่น คาดหวังให้ลูกไม่ทำเลอะเทอะก่อนวัยอันควร พอลูกทำไม่ได้ดั่งใจก็จะลงโทษหรือทำร้ายลูกในที่สุด

3. พ่อแม่มีแนวโน้มที่มีปัญหาในชีวิตสมรส : เช่นมีการทะเลาะเบาะแว้ง ลงไม้ลงมือกันบ่อยครั้งกว่าครอบครัวอื่นๆ ภายในบ้านไร้ระเบียบวินัย ทำให้ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวไม่ดีนักจึงเกิดเป็นปมได้

4. พ่อแม่สันโดษ ไม่มีเพื่อนบ้านหรือคนให้ระบายให้คำปรึกษา : ทำให้เมื่อเกิดความเครียดขึ้นมา ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาผู้ใด ทำให้ทุกอย่างก็มาระบายที่ครอบครัว ที่ลูก หากมีใครสักคนคอยชี้แนวทางก็อาจทำให้ไม่เกิดเหตุการลสดใจได้นั่นเอง

5. เกิดจากตัวเด็กที่เป็นตัวยั่วยุให้เกิดพฤติกรรม : ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกทำร้ายหรือทารุณกรรม มักเป็นเด็กที่ได้ความเอาใจใส่จากพ่อแม่สูงกว่าเด็กคนอื่นๆ ทำให้เด็กเอาแต่ใจ หรือมีพฤติกรรมในทางลบมากกว่าเด็กทั่วไป

6. พ่อแม่ไม่พร้อมมีลูก : อาจจะด้วยปัญหาด้านการเงิน ความมั่นคง หรือการมีลูกโดยมิได้ตั้งใจ และเมื่อมีแล้วไม่รู้จะจัดการยังไง และรู้สึกว่าลูกคือภาระ ซึ่งจริงๆ แล้วการมีลูกต้องใช้ความรักและความรับผิดชอบต่อชีวิตหนึ่งชีวิตอย่างมาก

ผลกระทบต่อตัวเด็ก

  • ผลการเรียนต่ำ
  • ชอบแยกตัวจากเพื่อน
  • ก้าวร้าว
  • นำไปสู่การต่อต้านสังคม
  • รู้สึกด้อยคุณค่าต่อตนเอง
  • ซึมเศร้า

 

อ้างอิงจาก : smarterlifebypsychology

 

 

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



กำลังใจที่ไม่เคยสังเกต
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save