fbpx

ร้องไห้ได้ เมื่อลูกรู้สึกเจ็บ!! สอนลูกให้เรียนรู้จากความผิดพลาด ไม่กดดันตัวเอง

Writer : Mneeose
: 15 กรกฏาคม 2563

“ฮึบไว้นะลูก อย่าร้องไห้นะ อดทนไว้อีกนิดเดียว”

ประโยคเด็ดที่ผู้ใหญ่มักจะพูด เมื่อเราหกล้มสมัยเด็ก จนกลายเป็นการปลูกฝังความคิดที่ให้พวกเราเติบโตมาเป็นคนที่อดทนเก่ง แต่ใครจะรู้บ้างว่า คำพูดเหล่านั้นคือความผิดพลาดในการสอนเด็กให้ไม่รู้จักกับอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเอง?

ถ้าลูกรู้สึกเจ็บก็ร้องไห้ออกมาได้ เศร้าก็ร้องไห้ได้ หรือรู้สึกเสียใจก็ร้องไห้ได้เช่นกัน ไม่ต้องฝืนทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลา เพราะใจคนเรานั้นแสนเปราะบาง

บางครั้งการที่เราสอนลูกเข้มแข็งมากเกินไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี หากมันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เข้าใจในตัวลูกจริงๆ ว่าพวกเขากำลังเจ็บปวดเรื่องอะไรอยู่ ก็ยากที่จะทำความเข้าใจความอ่อนแอในตัว และจิตใจของลูกได้

เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่พ่อแม่ควรมีเลย คือ ความเข้าใจในตัวลูกของเราอย่างถ่องแท้ หากเราไม่เข้าใจเขา ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจในตัวตน และจิตวิญญาณของพวกเขาจริงๆ เพราะบางเรื่องลูกก็ไม่สามารถพูดกับเราได้ หากพวกเขายังไม่รู้สึกไว้ใจคนเป็นพ่อเป็นแม่

การสอนให้ลูกมีแต่ความเข้มแข็ง หรือไม่แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็นจึงมักเป็นดาบ 2 คมอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะเข้มเเข็งในโลกแห่งความจริง แต่กลับอ่อนแอในโลกแห่งจิตใจ

แทนที่เราจะสอนลูกให้เป็นคนที่อดทนเก่งตั้งแต่เด็ก ลองเปลี่ยนมาสอนลูกให้เข้าใจ และรับมือกับอารมณ์ของตัวเองเป็นตั้งแต่เด็กน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะคนเราควร “ร้องไห้ได้” เมื่อรู้สึกเสียใจ และ “เศร้า” ได้ หากรู้สึกเจ็บปวด เพราะความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรานั้นต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราแต่ละคนจะมีความกดดันในตัวเองที่ไม่เท่ากัน นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดจากการเลี้ยงดูของครอบครัวเป็นหลักนั่นเอง

อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ถูกเก็บกดอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจของเด็ก เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่เมื่อพวกเขาเติบโตไปแล้วเขาอาจจะมีอาการเป็น “โรคซึมเศร้า” ซึ่งจะยิ่งมีความน่ากลัว และอันตรายต่อทั้งร่างกายและจิตใจของตัวเองด้วย

ลองเอามือลูกทาบอก แล้วลองถามพวกเขาว่า “ตอนนี้ลูกรู้สึกอะไรอยู่” น่าจะเป็นสิ่งที่สำรวจได้ว่าภายในจิตใจของลูกว่าจริงๆ นั้น เขารู้สึกอย่างไร?

ทุกคนจึงควรมีสิทธิ์ที่จะบอกกับตัวเองได้อย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่เป็นไรหรอกที่บางครั้งเราจะอ่อนแอ ไม่เป็นไรหรอกถ้าในบางครั้งเราจะร้องไห้ให้กับเรื่องที่ไร้สาระ ไม่เป็นไรหรอกหากมีบางวันที่มันไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราคิด มันคงไม่เป็นไรจริงๆ หากเราจะร้องไห้มากเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่ใจเราต้องการ “

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



16 พฤศจิกายน 2563
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save