fbpx

จุกนมหลอกเด็ก ตัวช่วยคุณแม่ยามคับขันเมื่อเจ็บเต้านม

Writer : Mneeose
: 2 กันยายน 2563

ปัญหาเจ้าตัวน้อยชอบดูดนมจากเต้าของคุณแม่ตลอดเวลา จนบางครั้งเราก็เองก็เริ่มเจ็บเต้านมมากๆ แถมยังกลัวลูกท้องเสีย เพราะว่าดูดนมมากเกินไปด้วย เราเลยมีของเล่น แต่เป็นตัวช่วยของคุณแม่ในยามคับขันได้ นั่นก็คือ “จุกนมหลอกเด็ก” นั่นเองค่ะ

จุกนมหลอกเด็ก คืออะไร และมีไว้เพื่ออะไร?

ช่วงที่ลูกอายุประมาณ 3-4 เดือนแรก พวกเขาจะมีความสุขกับการได้ดูดเป็นอย่างมาก เด็กในวัยนี้จึงไม่ห่างจากอกแม่ เพราะชอบดูดนมแม่ตลอดเวลา แต่ในบางครั้งคุณแม่จะต้องมีการพักเพื่อฟื้นปริมาณน้ำนมบ้าง และที่สำคัญก็คือเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้วจ้า แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่เข้าใจสักที อ้อนอยากดูดนมตลอดเวลาแบบนี้ เราเองก็ไม่ไหวเช่นกัน

เพราะปัญหาเหล่านี้ได้เกิดขึ้นกับเหล่าแม่ๆ จึงมีการคิดค้นของเล่น “จุกนมหลอกเด็ก” เพื่อให้เจ้าตัวน้อยมีความสุขกับการดูดอีกครั้ง แถมยังช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย สงบ ไม่ร้องกวนใจตลอดวัน แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นให้คุณพ่อคุณแม่หาของเล่นอย่างอื่น เช่น ที่เขย่ากรุ๊งกริ๊ง มาแทนเจ้าจุกนมหลอก เพราะไม่อย่างนั้นลูกจะติดจุกนมจนโตนั่นเอง

 

เมื่อไหร่ที่ลูกต้องใช้จุกนมหลอกเด็ก?

เมื่อลูกมีอายุประมาณ 3-4 เดือนแรก และมีอาการอยากดูดน้ำนมจากอกแม่ตลอดเวลา แต่ไม่ควรให้เด็กแรกเกิดถึงช่วง 1 เดือนแรกใช้จุกนมหลอกเด็ก เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความสับสนระหว่างจุกนมหลอกกับนมของคุณแม่ได้ค่ะ

แต่ระวังอย่าให้ลูกติดจุกนมเด็ดขาด!! เพราะอาจจะเกิดผลเสียกับร่างกายของเจ้าตัวเล็กได้ เราไปดูข้อดี ข้อเสียของการให้ลูกใช้จุกนมหลอกเด็กกันดีกว่าค่ะ

 

ข้อดีของจุกนมหลอกเด็ก

  • ลดภาวะ Overfeeding ช่วยลูกให้รู้สึกผ่อนคลาย และอบอุ่นใจ เมื่อได้ดูดจุกหลอก
  • ป้องกันการติดนิสัยดูดนิ้ว และเล่นน้ำลาย
  • ป้องกันภาวะเสียชีวิตเฉียบพลันไม่ทราบสาเหตุ (SIDS)
  • ช่วยกล่อมลูกให้หลับสบาย

 

ข้อเสีย หากลูกติดจุกหลอก

  • ฟันขึ้น และเรียงตัวผิดปกติ เพราะดูดจุกหลอกมากเกินไป หรือดูดเป็นระยะเวลานานมากกว่า 2 ปี ทำให้เด็กชอบสบฟัน
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง เพราะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค หากไม่ทำความสะอาดอย่างเพียงพอ
  • เด็กติดจุกนมเป็นนิสัย จนทำให้ร้องไห้แงกลางดึก เมื่อจุกนมหลุดจากปาก
  • ลูกอาจไม่กล้าพูด หรือพูดช้า เพราะจุกหลอกนมไปขัดขวางพัฒนาการด้านการพูด

 

เด็กควรหยุดใช้จุกนมหลอกเมื่อไร?

เมื่อพวกเขาเริ่มโตขึ้นจนมีอายุประมาณ 6 เดือน – 1 ปี แต่หากเด็กติดดูดจุกหลอกจนไม่สามารถเลิกเองได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาวิธีช่วยให้เด็กเลิกติดจุกหลอกค่ะ

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ครั้งแรกในประเทศไทย!! กับ Barbie Dream House & Café
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save