fbpx

6 สถานการณ์คับขันที่ "คุณแม่ฟูลไทม์" รับมือได้แบบสบาย สามีไม่ต้องห่วง

Writer : parentsone
: 24 เมษายน 2562

ถึงแม้คุณแม่ๆ หลายคน  มีความคิดวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า ทำยังไงหนอเราจะได้เป็นฟูลไทม์มัมมี่กับเขาบ้าง แต่ชีวิตจริงมันไม่ง่ายแบบนั้นสิคะ เพราะนอกจากเรื่องดีดีของฟูลไทม์มัมที่เราจะได้เจอ มันก็ยังมีเรื่องที่เราต้องต่อสู้และเผชิญอีกด้านเช่นกัน  เราจะไม่มีรายได้เหมือนก่อน ความมั่นคงในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง การสูญเสียสังคม ความภูมิใจในตัวเอง  ความมั่นคงในครอบครัว อะไรอีกจิปาถะ มันก็จะถาโถมเข้ามาเช่นเดียวกัน

ดังนั้นเชื่อเถอะค่ะว่า  ชีวิตแต่ละคน องค์ประกอบ และรายละเอียดไม่เหมือนกัน  เอาที่เราสบายใจ เราแฮปปี้ อยู่ได้ ลูกมีความสุข  ครอบครัวมีความสุขก็พอแล้ว  แต่บทความในวันนี้ เราจะมาดูกันว่า 6 สถานการณ์ต่อไปนี้ ถ้าเกิดขึ้นตอนเราเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ เราจะรอดแบบสวยๆ  และสามีก็ชีวิตดีไม่ต้องห่วงเรื่องลูกไปเลยล่ะค่ะ

1.เมื่อลูกป่วย

เมื่อตอนที่แม่ยังทำงานประจำนั้น เวลาลูกป่วยคือพีคมาก เพราะอาการเจ็บป่วยไม่เลือกวันเวลา ไม่รอเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดแต่อย่างใด อยากป่วยเมื่อไหร่ มันก็ป่วย ดังนั้น หากเรายังทำงานประจำ  เมื่อลูกป่วยทีก็ต้องลางานมาดูลูก หากป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลไปอีกนี่งานเข้าแม่หนักมาก แถมเวลาเฝ้าไข้ลูก แม่ก็จะพักผ่อนน้อยมีโอกาสติดเชื้อจากลูกไปอีก ทีนี้แม่ก็อาจต้องได้ลาป่วยรักษาตัวเองต่อไปอีก ซึ่งลาบ่อยๆ คงส่งผลต่องานประจำของเราเป็นแน่แท้ แล้วอาจจะรวมถึงคุณพ่อก็ต้องลางานมาช่วยหากจำเป็นอีกด้วย ทีนี้ชุลมุนกันทั้งบ้านแน่ๆ ค่ะ  แต่ถ้าคุณเป็นคุณแม่ฟูลไทม์  ก็มาดิคะ จะป่วยเมื่อไหร่ วันไหน เวลาไหน แม่จะอยู่กับลูกเสมอ แม่ไม่ต้องกังวลสิ่งใดเลยล่ะค่ะ  สามีก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนใดๆ กับการป่วยของลูก สบายๆ ชิวๆ

2.หน้าที่รับส่งลูกไปโรงเรียน

ตอนทำงานประจำ เราจะมีเวรรับส่งลูกของแม่กับพ่อ  เพราะเราทำงานทั้งคู่และออฟฟิศอยู่ไกลโพ้นจากบ้านทั้งคู่  ดังนั้น การไปส่งลูกไปโรงเรียนในตอนเช้าจึงมักจะเป็นหน้าที่ของพ่อ ที่สามารถจัดการเวลาเข้าออฟฟิศได้ดีกว่าแม่  และหากวันไหนพ่อติดประชุมเช้า หรือต้องเดินทางต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หน้าที่ส่งลูกไปโรงเรียนตอนเช้าจะตกมาเป็นของแม่ ซึ่งการไปส่งลูกเล็กๆ ไปโรงเรียนตอนเช้า ก็จะทำใหห้เราไปถึงที่ทำงานเกือบสาย หรือสาย!!  แต่ถ้าคุณเป็นแม่ฟูลไทม์ ปัญหานี้จะไม่เกิดกับคุณ เพราะคุณจะสามารถไปส่ง และไปรับลูกๆ ที่โรงเรียนได้อย่างสบายจิตสบายใจเป็นที่สุด

3.กิจกรรมโรงเรียนลูก แม่พร้อมทุกเมื่อ!!

เมื่อลูกเข้าโรงเรียนก็มักจะมีกิจกรรมของโรงเรียนที่พ่อแม่ต้องเข้าร่วมมาอยู่เสมอๆ  ยิ่งโรงเรียนบูรณาการแบบลูกแม่ด้วยแล้ว กิจกรรมเพียบ เยอะจนบางทีแม่ก็คิดนะว่า  ถ้าแม่ยังทำงานประจำอยู่ จะมาร่วมยังไงไหวล่ะลูกเอ้ย  เพราะจัดกันแทบทุกเทศกาล และลูกก็จะยิ้มแป้นทุกครั้งที่เห็นแม่ไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนด้วย  และแม่ก็ไม่ต้องกวนวันลาของคุณพ่ออีกเลย  แค่บอกลูกว่า  พ่อต้องทำงานนะครับ  เลยให้คุณแม่มาแทนนะลูก แต่คุณพ่อก็อยากมามากๆเลย ไว้กิจกรรมหน้าคุณพ่อมาได้  แม่จะรีบบอกลูกเลยนะคะ 

4.พาลูกไปลุยทุกกิจกรรม ไม่ต้องรอคุณพ่อ

เมื่อคุณแม่มีเวลาซะขนาดนี้  การพาลูกตะลุยเรียนเสริม หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ดนตรี กิจกรรมศิลปะ บันเทิงต่างๆ  บุกป่าฝ่าดง  แม่เอาอยู่  ขอเพียงให้ลูกสนุกมีความสุข เราก็ลุยกันเลย ปล่อยคุณพ่อทำงานหาเงินไปนะลูกนะ  เราแม่ลูกพร้อม  ซึ่งถ้าเราทำงานประจำ เราคงพาลูกไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้แค่เสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดเท่านั้น แต่นี่ไม่นะ หลังเลิกเรียนวันธรรมดาเราก็ลุยได้สบายบรื๋อ ลูกแฮปปี้ คุณแม่ก็แฮปปี้ไปด้วยค่ะ

5.เมื่อคนในบ้านที่ดูแลลูกป่วยหรือติดธุระสำคัญ

เมื่อก่อนตอนทำงานประจำ จะมีคุณปู่คุณย่าคอยดูแลลูกให้เรา  ซึ่งเราก็จะเกรงใจท่านมากๆ  และท่านก็เกรงใจเรามากๆ  ขนาดป่วยยังไม่กล้าบอกเราว่าจะไปหาหมอ เพราะกลัวว่าเราต้องลางาน  อดทนความเจ็บป่วยเก็บไว้จนไม่ไหว  จึงมาเอ่ยปากขอพักไปหาหมอ  แม่นี่สะเทือนใจ สงสารมากๆ  ดูแลลูกเราจนป่วย และยังไม่กล้าไปหาหมออีก อะไรจะขนาดนั้น  หรือแค่จะไปธุระ หมอนัดตามไตรมาสอะไรแบบนี้ ยังไม่เอ่ยปากบอกเรา   ซึ่งตอนนี้สบายมากค่ะ  ใครจะไปไหนทำอะไรก็สามารถทำได้เสมอ เพราะมีแม่ฟูลไทม์คนนี้สแตนบายอยู่ทั้งคนไงล่ะคะ

6.ในเวลาที่ลูกไม่น่ารักที่สุด เค้ายังมีคุณข้างๆ

เมื่อเรามีเวลาอยู่กับลูกดูแลลูกตลอดเวลา  เราจะได้เห็นลูกในทุกโมเมนต์ ทั้งพัฒนาการ ความคิด จิตใจ การใช้ชีวิต  เราได้สอนสั่ง  ได้พูดคุยทำความเข้าใจกันตลอดเวลา  แต่เด็กก็คือเด็ก เขายังคงต้องเรียนรู้ พัฒนา เติบโต ในแต่ละก้าวของเขาอาจมีพลาดพลั้ง อาจมีอารมณ์เกรี้ยวกราด ฉุนเฉียว ก้าวร้าว พูดไม่น่ารัก ทำตัวน่าตี  ซึ่งเด็กทุกคนน่าจะต้องผ่านทุกบริบท  แต่เขามีแม่อย่างเรา คอยอยู่ข้างๆ ทุกช่วงเวลาในว่าจะแย่หรือดี แม่คิดว่า เราทั้งคู่โชคดีที่สุดเลยลูก ที่เรามีกันและกัน  และแม่ไม่เสียใจเลยที่แม่ละทิ้งบางอย่างในชีวิตแม่ไป และเลือกลูกของแม่คนนี้

ทุกสถานการณ์มันจะผ่านไปได้เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นแม่ที่ทำงานประจำหรือคุณแม่ฟูลไทม์  เพราะไม่ว่าเราจะเลือกเป็นแม่แบบไหน แต่หัวใจของความรักลูก และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกให้ลูก ก็เป็นสิ่งที่พวกเรา มนุษย์แม่ ยืนหนึ่งทำสิ่งเดียวกันอย่างแน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธใช่ไหมคะ

Writer Profile : parentsone

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ชีวิตครอบครัว ชีวิตครอบครัว
18 สิงหาคม 2563
ไม่เป็นไร
26 สิงหาคม 2563
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save