fbpx

ผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ ภายใต้วิกฤตโควิด-19

Writer : Phitchakon
: 24 มิถุนายน 2565

กว่า 2 ปีแล้วที่ภาพเด็กเล็กสะพายกระเป๋าไปโรงเรียน หัวเราะสนุกสนานกับเพื่อนๆ ถูกแทนที่ด้วยภาพเจ้าตัวน้อยใช้เวลาทั้งวันเรียนหน้าจอ อุดอู้ในบ้านไม่ได้ออกไปไหน 

แม้การเรียนออนไลน์จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วในสถานการณ์โรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ แต่ทราบไหมคะว่า การเรียนออนไลน์มีผลกระทบหลายด้านกว่าที่เราคิด โดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ 

วันนี้เรามาย้อนมองผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมลูกรักกลับสู่โลกกว้างอีกครั้งหนึ่งไปด้วยกันนะคะ   

เด็กวัยอนุบาลที่ไม่ได้ไปโรงเรียนสูญเสียการเรียนรู้ถึง 98% เมื่อเทียบกับวันที่ไปโรงเรียนปกติ มีภาวะการเรียนรู้ถดถอย พัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย  

นอกเหนือไปจากผลกระทบด้านการเรียนรู้ ก็ยังมีผลกระทบอีกหลายด้าน ดังนี้เลยค่ะ 

ผลกระทบด้านร่างกาย  

  • เมื่อยล้า ปวดตามร่างกาย  
  • ปวดหัว  
  • ปวดตาจากการจ้องหน้าจอมากเกินไป 
  • เสี่ยงสายตาสั้น 
  • น้ำหนักเกินจากการไม่ได้ขยับตัว  
  • ขาดการออกกำลังกาย  
  • รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา  

ผลกระทบด้านจิตใจและพฤติกรรม  

  • เครียด 
  • เบื่อหน่าย ไม่มีแรงจูงใจในการเรียน  
  • สมาธิสั้น
  • ก้าวร้าว แสดงออกด้วยพฤติกรรมรุนแรง 
  • เสพติดสื่อออนไลน์ เกิดการเลียนแบบพฤติกรรมไม่ดีต่างๆ  

ผลกระทบด้านสังคม 

  • ขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน  
  • ขาดทักษะการเข้าสังคมและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น  
  • ขาดระเบียบวินัย  

ผลกระทบต่างๆ เหล่านี้ อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องในระยะยาว ผู้ปกครองทุกท่านควรหมั่นสังเกตพฤติกรรม และช่วยเหลือเด็กๆ ปรับตัวกลับสู่สถานการณ์ปกติตามวิธีด้านล่างได้เลยค่ะ 

เตรียมพร้อมลูกรักกลับสู่โรงเรียน 

  • รับฟังความรู้สึก : พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับการเปิดเรียน พ่อแม่เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลกับลูกมาก ยิ่งเราใช้เวลาอยู่กับเขา เป็นที่พึ่งพาทางใจให้เขา เด็กจะยิ่งมีความมั่นคง และพร้อมกลับไปเรียนมากขึ้นค่ะ 

 

  • ให้เวลาลูกปรับตัว : ให้เวลากับเขาสักนิดนะคะ ใช้วิธีการแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่บังคับ เพราะมีแต่จะทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียนมากขึ้นไปอีก 

 

  • วางแผนกิจวัตรประจำวัน : จัดตารางกิจวัตรประจำวันให้ลูกทำตามอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ มีระเบียบวินัยโดยธรรมชาติ และไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปไปอย่างไร เด็กก็จะสามารถปรับตัวได้ดี และควบคุมตัวเองได้ค่ะ 

 

  • ฝึกการคิดยืดหยุ่น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา : วันนี้มีการผ่อนคลายความเข้มงวด เปิดให้เด็กๆ กลับไปเรียน ในวันพรุ่งนี้ อาจต้องกลับไปเรียนออนไลน์อีกครั้ง เพราะฉะนั้นควรฝึกฝนเด็กๆ ให้มีความยืดหยุ่น เช่น การบอกกับลูกเสมอว่าสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลง ลูกจะได้ไม่มีความรู้สึกสับสน หรือตื่นกลัวตามมา

 

อ้างอิงจาก

 

Writer Profile : Phitchakon

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save