fbpx

ทำอย่างไร เมื่อลูกถูกไฟดูด!

Writer : Phitchakon
: 21 กันยายน 2565

รอบตัวเราที่รายล้อมไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมาย ภัยใกล้ตัวอย่าง “ไฟดูด” จึงเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ยิ่งบ้านไหนมีเจ้าตัวเล็กวัยช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็นแล้วล่ะก็ อะไรก็อยากจับอยากสัมผัสไปเสียหมด ทำเอาความเสี่ยงสูงปรี๊ด เผลอละสายตาไปเสี้ยววินาทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้

การป้องกันและการปฐมพยาบาลกรณีไฟดูดเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนควรรู้ วันนี้ Parents One จึงนำวิธีการรับมือและข้อควรระวังมาฝากกัน อย่าลืมเรียนรู้และฝึกฝนเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของทุกๆ คนนะคะ

ทำอย่างไร เมื่อลูกถูกไฟดูด ?

สิ่งแรกที่ควรทำคือ “ตั้งสติ!” หากว่าเจอลูกบาดเจ็บกะทันหันต่อหน้าต่อตา เป็นใครก็ต้องตกใจ อยากเข้าไปช่วยใจแทบขาด แต่ขอให้คุณพ่อคุณแม่หายใจเข้าลึกๆ และตั้งสติก่อนค่ะ เพราะหลักสำคัญของการช่วยเหลือ นอกจากจะต้องรวดเร็วแล้ว ก็ต้องรอบคอบเช่นกัน

โดยเฉพาะกับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดี คนช่วยเหลืออาจโดนไฟดูดไปด้วย คนเจ็บก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

  1. รีบตัดกระแสไฟฟ้าบริเวณที่เกิดเหตุ สับคัตเอาท์ สับสวิตช์ ยกเว้นเสาไฟฟ้าสาธารณะหรือสายไฟแรงสูง ควรรีบแจ้งการไฟฟ้านครหลวงให้เร็วที่สุด
  2. แจ้งสายด่วน 1669 ติดต่อสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ยิ่งรวดเร็วและช่วยเหลืออย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้มากขึ้น
  3. เคลื่อนย้ายเด็กไปยังที่ปลอดภัยอย่างระมัดระวัง เพราะการเคลื่อนย้ายแบบผิดๆ อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บมากกว่าเดิม
  4. หากเด็กหมดสติ เรียกแล้วไม่ตอบสนอง หยุดหายใจหรือมีภาวะหัวใจหยุดเต้น ควรทำ CPR

วิธีการทำ CPR 

  • เริ่มจากการกดหน้าอก ให้เด็กนอนหงายแล้ววางสันมือข้างหนึ่งตรงครึ่งล่างกระดูกหน้าอกและวางมืออีกข้างทับประสานกันไว้ กดหน้าอกลึก 5 เซนติเมตร ในอัตราเร็ว 100-120 ครั้ง/นาที
  • ถ้าเคยทำ CPR มาก่อนให้กดหน้าอกสลับเป่าปากช่วยหายใจ กดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับเป่าปากช่วยหายใจ 2 ครั้งจนกว่าทีมกู้ภัยหรือหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จะมาถึง

ข้อควรระวัง!

  • ห้ามสัมผัสตัวเด็กที่ประสบเหตุไฟดูดด้วยมือเปล่า ควรใช้วัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้าอย่างไม้แห้ง เชือก หรือถุงมือยางในการช่วยเหลือเสมอ
  • หากเกิดเหตุบริเวณน้ำขัง ผู้ช่วยเหลือห้ามลงน้ำโดยเด็ดขาด! ต้องแน่ใจว่ามีการตัดกระแสไฟฟ้าเรียบร้อยแล้วจึงเข้าไปช่วยเหลือ

วิธีป้องกันไฟดูด

  • ตรวจสอบปลั๊กไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่เสมอ คอยสังเกตว่ามีการชำรุดหรือเสื่อมสภาพหรือเปล่า ถ้าเห็นแววท่าไม่ดีก็ไม่ควรฝืนใช้ต่อ เกิดอันตรายขึ้นมาไม่คุ้มกันค่ะ
  • ติดตั้งสายดินหรือเครื่องตัดไฟรั่วในบ้าน ช่วยป้องกันยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน
  • เก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สายไฟให้พ้นมือเด็ก จัดสภาพแวดล้อมรอบตัวลูกให้ปลอดภัย
  • เตือนเด็กๆ ให้เห็นถึงอันตรายจากการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่เหมาะสม และสอนให้ระมัดระวังตัว คอยสังเกตและหลีกเลี่ยงสถานที่เสี่ยงภัยอันตราย

ที่มา :

Writer Profile : Phitchakon

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



แม่จ๋า! น้ำร้อนลวกหนู ทำอย่างไรดี
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save