fbpx

NEWS: อุทาหรณ์พ่อแม่! เด็ก 10 ขวบถูกงูกะปะพิษร้ายแรงกัด แผลบริเวณนิ้วเริ่มเป็นเนื้อตาย

Writer : Lalimay
: 13 ธันวาคม 2564

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ อย่างอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการถูกสัตว์เลื้อยคลานอย่างงูกัด ก็เป็นเหตุการณ์ที่พบได้อยู่บ่อยครั้ง อย่างกรณีล่าสุดมีเด็กหญิงวัย 10 ขวบถูกงูกะปะซึ่งมีพิษร้ายแรงกัด จนต้องมีการผ่าตัดมือ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2564 โดยมีเด็กหญิงวัย 10 ขวบได้ออกมาเดินเล่นรอบบ้าน จากนั้นก็ถูกงูกัด จึงร้องเรียกให้คนช่วย พ่อและแม่ของเด็กหญิงจึงรีบวิ่งมาดูและพบว่านิ้วมือข้างซ้ายที่ถูกงูกัดมีเลือดไหลจำนวนมาก จึงได้นำสายกระเป๋ามารัดไว้ ก่อนที่พ่อของเด็กจะตีงูจนตาย และนำตัวเด็กส่งโรงพยาบาล พร้อมกับซากงู

โดยงูที่กัดเด็กหญิงนั้นเป็นงูกะปะที่มีพิษร้ายแรง แต่เด็กหญิงมีอาการแพ้เซรุ่มแก้พิษงู จึงต้องมีการผ่าตัดเอาเลือดที่มือออก เนื่องจากแผลที่บริเวณนิ้วเริ่มเป็นเนื้อตาย จึงต้องมีการระบายให้เลือดหมุนเวียน แต่ทางทางโรงพยาบาลแจ้งว่า ไม่มีเลือดกรุ๊บ AB จำนวนมากพอ ที่จะทำเกล็ดเลือดเพื่อรักษา ทางญาติจึงได้มีการโพสต์ขอความช่วยเหลือในโลกโซเชียล และได้รับบริจาคเลือดมาเป็นจำนวนมาก

ซึ่งล่าสุดแพทย์ได้นำเลือดที่คนบริจาคไปทำเกล็ดเลือด เพื่อไปรักษาด้วยการเร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งยังทำให้ลดอาการปวด แต่อาการของน้องยังไม่พ้นขีดอันตราย

สำหรับสำหรับงูกะปะ เป็นงูพิษที่มีพิษรุนแรงและอันตรายมากที่สุดที่พบในประเทศไทย มีสีเทาอมชมพูลายสีน้ำตาลเข้ม ลักษณะหัวเป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก ลำตัวอ้วน หางเรียวสั้น มีลายเป็นรูปเหมือนหลังคาบ้านอยู่ด้านข้างตลอดลำตัว ปกติจะไม่ปราดเปรียว เวลาตกใจจะงอตัวหรือขดนิ่ง แต่ฉกกัดรวดเร็ว

ซึ่งพิษของงูกะปะนั้นมีผลต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกมากผิดปกติ เมื่อถูกกัดภายใน 10 นาทีหลังบริเวณรอบแผลที่ถูกกัดจะบวมขึ้นย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแขนหรือขาข้างนั้นบวมไปหมดภายใน 1 ชั่วโมง จึงส่งผลให้ผู้ที่โดนงูกัดอาจเสียชีวิตจากการเสียเลือดได้

อ้างอิงจาก

 

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save