fbpx

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กใน 4 ช่วงวัย

: 16 กรกฏาคม 2561

เคยสงสัยกันไหมนะว่าลูกตัวน้อยของเรารู้สึกหรือสัมผัสอะไรได้บ้าง? นักจิตวิทยา Jean Piaget ได้คิดค้นทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาใน 4 ช่วงวัย ด้วยความเชื่อว่าคนเราพัฒนาศักยภาพทางสติปัญญาตามการเจริญเติบโตของเรา ตั้งแต่เด็กจนถึงเป็นวัยแรกรุ่นเลยล่ะ เราไปดูกันเถอะค่ะ

ระยะใช้ประสาทสัมผัส (Sensorimotor Stage)

ระยะใช้ประสาทสัมผัสอยู่ในช่วงทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 2 ปี โดยในช่วงนี้ ลูกน้อยกำลังตื่นตาตื่นใจกับประสาทสัมผัสทั้งห้าที่พัฒนาขึ้น เขาจะสงสัยและยังไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขา แต่ในขณะเดียวกัน ลูกน้อยจะสามารถขยับอวัยวะร่างกายอย่างง่าย ๆ เช่น หยิบจับสิ่งของได้ ขยับร่างกายได้

ส่วนเรื่องความคิดและภาษา ในวัยนี้ลูกน้อยยังไม่สามารถคิดหรือเข้าใจอะไรได้มากนัก แต่จะเริ่มเข้าใจว่าต่อให้มองไม่เห็น ทุกอย่างก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน (object permanence) ในด้านภาษา ลูกน้อยจะใช้ภาษาในการจัดระบบสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขาและให้คำสั่งแก่ผู้ปกครอง ว่าตอนนี้หิวแล้วนะ หรือผ้าอ้อมถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วล่ะ

ระยะควบคุมอวัยวะต่าง ๆ (Preoperational Stage)

เมื่ออายุ 2 ถึง 6 ขวบ ลูกน้อยจะสามารถควบคุมอวัยวะได้มากขึ้น เขาสามารถเล่นกีฬา ขี่จักรยานได้แล้ว ในวัยนี้ลูกน้อยจะช่างสงสัยน่าดูเลยล่ะ คุณพ่อคุณแม่เตรียมรับคำถามจำนวนมากจากเขาได้เลย ลูกน้อยจะเริ่มเข้าใจใช้ความคิดได้ลึกซึ้งขึ้น และใช้ภาษาได้ซับซ้อนขึ้นค่ะ

เด็กวัยนี้จะช่างจินตนาการ ชอบคิดนู่นคิดนี่ คิดเพื่อนในจินตนาการของตัวเองขึ้นมาเป็นปกติเลยค่ะ และจากข้อที่แล้ว ถึงลูกน้อยจะรู้ว่าสิ่งของนั้นยังอยู่แม้เขาจะไม่เห็น แต่เขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งของได้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีน้ำสองแก้วในปริมาณที่เท่ากัน แต่เราเทแก้วหนึ่งลงในแก้วที่สูงกว่า ถึงน้ำจะปริมาณเท่ากันเช่นเดิม ลูกน้อยจะเข้าใจว่าทรงแก้วที่สูงกว่า คือน้ำที่มากกว่าค่ะ

ระยะที่คิดอย่างเป็นรูปธรรม (Concrete Operational Stage)

อายุ 7 – 11 ปี ในวัยนี้ลูกน้อยจะเข้าใจความคิดทั้งทางรูปธรรมมากขึ้น สามารถตามกฎที่ถูกวางไว้ได้อย่างง่าย แต่ยังไม่เข้าใจตรรกะเบื้องหลังว่าทำไมต้องมีกฎเหล่านั้นและเพื่ออะไร เพราะยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ถี่ถ้วน หากเข้าใจก็ยังไม่สามารถนำไปประยุกต์กับสิ่งอื่นได้

ระยะที่คิดอย่างเป็นนามธรรม (Formal Operation Stage)

อายุ 12 – 15 ปี เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ก่อนที่เด็กน้อยจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่ ในวัยนี้เขาสามารถเข้าใจนามธรรมได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งอื่นได้อีกด้วย เขาสามารถเข้าใจสิ่งใหม่ ๆ ได้เพียงแค่อธิบายให้ฟัง ไม่จำเป็นต้องแสดงให้ดู สามารถวางแผนและใช้ตรรกะแก้ปัญหาได้ดี รู้ว่าสิ่งใดผิดถูก


ทั้งสี่ระยะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ช้าเร็วตามสภาพแวดล้อมและตามทักษะของตัวเด็กเองค่ะ อยากให้คุณแม่สบายใจได้ ถึงเวลาแล้วลูกน้อยก็จะพัฒนาทักษะขึ้นตามสมควรเองค่ะ 😆

ที่มา:

 

Writer Profile : phanthirapuyou

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save