fbpx

5 ความคิดที่ทำให้สัมพันธภาพในครอบครัวเกิดรอยร้าว

Writer : Lalimay
: 1 สิงหาคม 2562

ความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ยิ่งเป็นความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวด้วยแล้วก็ยิ่งต้องดูแลและประคับประคองให้ดี แต่ถึงแม้ว่าเราจะดูแลความสัมพันธ์ได้ดีแค่ไหน แน่นอนว่าก็ต้องมีบ้างที่บางความคิดทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดรอยร้าว เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่าความคิดเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง

คิดว่าคนในครอบครัวคือคนกันเองจะทำยังไงก็ได้

ความเคยชินอาจทำให้เรามองข้ามความสำคัญของคนที่อยู่ข้างๆ ตัวเรา การคิดว่าคนในครอบครัวเป็นคนกันเองแล้วเราจะทำตัวไม่น่ารัก พูดจาทำร้ายจิตใจ ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจกันอาจเป็นเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดความขัดแย้งได้ สงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงถนอมน้ำใจคนอื่น มากกว่าคนในครอบครัว ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว คนในครอบครัวหรือคนใกล้ตัว คือคนที่เราต้องให้ความสำคัญ ใส่ใจในความรู้สึก ถนอมน้ำใจกันให้มากที่สุดแท้ๆ 

คิดว่าเรื่องเงินคือสิ่งสำคัญที่สุด

แน่นอนว่าเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต แต่ว่าเงินก็ไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะเงินไม่สามารถซื้อความอบอุ่นหรือความรักระหว่างคนในครอบครัวได้ คงมีไม่น้อยที่พยายามทำงานหนัก เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวแต่ไม่มีเวลามาอยู่กับลูกหรือคนที่รัก เพราะคิดว่าสามารถใช้เงินทดแทนเวลาที่หายไปได้ แต่จริงๆ แล้ว “เงิน” ไม่ใช่พ่อแม่หรือสามีภรรยาที่ดีนักหรอกค่ะ คนทุกคนล้วนต้องการความเอาใจใส่จากคนที่รักด้วยกันทั้งนั้น

คิดว่าเรื่องของคนในครอบครัวไม่สำคัญ

การเอาใจใส่กันคือเรื่องสำคัญมากๆ ในการดูแลความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวทั้งพ่อแม่และลูก อย่ามองว่าปัญหาของคนในครอบครัวคือเรื่องของใครของมัน จริงอยู่ว่าเราคงไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับทุกคนได้ แต่ก็ไม่ควรให้คนที่เรารักเผชิญหน้ากับปัญหาคนเดียว ควรให้กำลังใจและถามไถ่ความเป็นไปของแต่ละคนในครอบครัว แต่ก็ไม่ควรมากเกินไปจนเหมือนกลายเป็นการจับผิดกัน

คิดว่าตัวเองทำเพื่อครอบครัวอยู่คนเดียว

ครอบครัวคือสิ่งที่คนสองคนพยายามสร้างขึ้นมาให้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียว เปลี่ยนจากคำว่า “เธอ” และ “ฉัน” เป็นคำว่า “เรา”  ซึ่งจะต้องใช้การร่วมแรงร่วมใจของคนสองคน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ถ้าหากมีใครคนหนึ่งกำลังเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเป็นการพยายามทำเพื่อครอบครัวอยู่ฝ่ายเดียวอาจเป็นเพราะว่าในบางทีเราอาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินไป จนมองข้ามว่าอีกฝ่ายก็กำลังทำหน้าที่ที่แตกต่างเพื่อครอบครัวอยู่เช่นกัน ดังนั้นก็ควรที่จะต้องหันหน้าเข้ามาคุยกันถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะอะไร ต้องคุยกันโดยที่ห้ามใช้อารมณ์ โทษอีกฝ่ายหรือโทษตัวเองเด็ดขาด เพราะการใช้อารมณ์มีแต่จะทำลายความรู้สึกของกันและกัน

คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดเวลาไม่เข้าใจกัน

เวลาที่คนสองคนเข้าใจผิดหรือเข้าใจไม่ตรงกันหากไม่ทะเลาะก็คงจะใช้ความเงียบเข้ามาควบคุมสถานการณ์ ซึ่งการเงียบก่อนก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้แต่ละคนสงบสติอารมณ์และใจเย็นมากขึ้น แต่การเงียบตลอดก็มีผลเสียเหมือนกัน เพราะปัญหาหรือความเข้าใจผิดนั้นจะไม่ถูกแก้ไข แต่กลับกลายเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรม ดังนั้นจริงๆ แล้วเมื่อคนเราไม่เข้าใจกันก็ควรที่จะหันหน้าคุยกันมากกว่าเงียบใส่กัน แต่ว่าต้องเลือกใช้คำพูดที่คิดถึงใจอีกฝ่ายให้มากๆ อย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล และการประชดประชันไม่ใช่คำพูดที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยสักนิด

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ความสุขของ คนเป็นพ่อ คืออะไร?
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save