fbpx

7 สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้เกี่ยวกับการนอนของลูก

Writer : Lalimay
: 21 มีนาคม 2562

การนอนเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเด็กมากๆ โดยเฉพาะในเด็กทารก เพราะช่วงแรกเราจะเห็นว่าลูกนอนอย่างเดียว นอนทั้งวัน ซึ่งหลายครั้งเราก็อาจมีคำถามเกี่ยวกับการนอนของลูก เช่น นอนยังไงให้ลูกหัวสวย วันนี้เราจึงรวบรวม 7 สิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้เกี่ยวกับการนอนของลูกมาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุกคนค่ะ

1. ท่านอนสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย

เด็กแรกเกิด – 4 เดือน

เด็กวัยนี้นอน 16-20 ชั่วโมง ยังนอนไม่เป็นเวลา นอนกลางวันพอๆ กับกลางคืน ควรนอนตะแคงหรือนอนหงาย เพราะพัฒนาการที่กล้ามเนื้อคอยังไม่แข็งแรง ทำได้เพียงหันซ้ายหันขวา

เด็กวัย 5-6 เดือน

เริ่มนอนเป็นเวลา นอนคว่ำได้ และเด็กยกคอได้เพราะคอเริ่มแข็งแรง  แต่ยังต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะอาจเกิดการอุดกลั้นการหายใจได้

เด็กวัย 7-12 เดือน

สามารถนอนได้ทุกท่าเพราะเด็กพลิกตัวเองได้แล้ว แต่ว่าพ่อแม่ต้องคอยสังเกตตัวเด็กและสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กอยู่เสมอ เช่น บนที่นอนต้องไม่มีอะไรมาปิดหน้าเด็กในระหว่างนอนหลับ

2. ท่านอนที่เหมาะสม

ท่านอนที่เหมาะสมคือนอนหงาย ท่านอนที่อันตรายคือนอนคว่ำ

จากการวิจัยหลายแหล่งพบว่าการนอนคว่ำในเด็กทารกมีความเสี่ยงต่อการกดทับจมูกปากจนขาดอากาศหายใจมากกว่าการนอนหงาย 2-7 เท่าตัว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคการตายฉับพลันของเด็กทารกโดยไม่ทราบสาเหตุหรือที่เรียกกันว่าโรค SIDS (sudden infant death syndrome) แต่ก็สามารถให้นอนคว่ำได้ โดยทำได้ในเฉพาะเวลาที่เด็กตื่นและต้องมีพ่อแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

3. อยากให้ลูกหัวทุย

นอนตะแคงซ้ายและขวาสลับกันไป ให้กอดหมอนข้างเพื่อป้องกันการหน้าคว่ำ หรือไม่ก็ให้นอนหงายแต่ใช้การพลิกหน้าซ้าย ขวา

4. ลูกนอนไม่พอส่งผลยังไง

จะมีผลในเรื่องของอารมณ์ หงุดหงิดง่าย เลี้ยงยาก งอแง มีอารมณ์หงุดหงิด เพราะนอนได้ไม่เต็มอิ่ม การเจริญเติบโตอาจจะไม่ดีเท่าที่ควร

5. ลูกนอนเตียงเดียวกับพ่อแม่ดีไหม

พ่อแม่ควรแยกที่นอนกับลูก แยกที่นอนมาอยู่ด้านข้างผู้ใหญ่ด้วยระยะห่างประมาณเอื้อมมือถึง ไม่นอนระหว่างผู้ใหญ่หรือติดชิดกับผู้ใหญ่เพราะอาจเผลอนอนเบียดหรือทับเด็กจนหายใจไม่ออก หรือโดนผ้าห่ม หมอนของพ่อแม่ทับเด็กโดยไม่รู้ตัว

6. การเลือกที่นอนให้ลูก

ที่นอนควรค่อนข้างแข็ง ไม่นุ่มหรือยวบจนเกินไป ไม่ควรปูเบาะเพิ่ม และไม่ควรมีเครื่องนอนเยอะ ผ้าห่มไม่ควรเป็นผ้านวม เพราะหน้าของเด็กอาจจุ่มลงไปแล้วกดจมูกและปากเป็นเหตุให้ขาดอากาศหายใจเสียชีวิตได้

7. สถานที่ที่เหมาะสมกับการนอน

ต้องเป็นสถานที่ค่อนข้างโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ถ้าเป็นห้องแอร์อุณหภูมิก็ไม่ควรเย็นเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 25-27 องศาเซลเซียส

ข้อมูลอ้างอิงจาก

 

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



CAR SEAT กับเด็กแต่ละช่วงอายุ
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save