fbpx

ร้องไห้ก็ไม่เป็นไรนะ! เหตุผลดี ๆ ที่เราควรให้ลูกระบายอารมณ์

: 21 พฤษภาคม 2564

หลายครั้งที่เรามักถูกสอนว่าการร้องไห้เป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือเป็นอารมณ์ที่ไม่ควรแสดง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้แย่อย่างที่คิด การร้องไห้เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการเด็ก

ยิ่งเด็กเติบโต ก็ยิ่งมีหลากหลายสาเหตุให้ร้องไห้ ถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยเหมือนตอนเป็นเด็กทารก อย่างไรก็ตาม การร้องไห้ก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตทางจิตใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามหรือควรปิดกั้นเลย เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าน้ำตามีประโยชน์กับเจ้าหนูอย่างไรบ้าง

ทำไมเด็กถึงร้องไห้

แน่นอนว่าเราร้องไห้เพราะเศร้าเสียใจ การร้องไห้เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเศร้า โกรธ กระวนกระวาย กลัว เจ็บ หรือมีความสุข ก็ล้วนแสดงอารมณ์ได้ด้วยการร้องไห้ทั้งนั้น ซึ่งมีประโยชน์ทั้งทางร่างกายและจิตใจดังนี้ค่ะ:

  • เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร: ตั้งแต่เจ้าหนูยังเป็นเบบี๋ตัวน้อย การร้องไห้เป็นหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารชั้นยอด เพราะเป็นอย่างเดียวที่เขาสามารถทำได้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ ว่าถึงเวลากินข้าว เปลี่ยนผ้าอ้อม หรือหนูรู้สึกไม่สบายแล้วนะ
  • แต่เมื่อโตขึ้นมา การร้องไห้เองก็ยังเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเช่นกัน การร้องไห้เป็นหนึ่งในบุคลิกที่สามารถดึงดูดความช่วยเหลือจากคนรอบข้างได้ค่ะ
  • ช่วยเยียวยาหัวใจ: มีการศึกษาชี้ว่าระหว่างที่เรากำลังร้องไห้ ระบบประสาทอิสระในร่างกายจะทำงาน ทำให้ผู้ร้องรู้สึกผ่อนคลายลง และในน้ำตายังมีฮอร์โมนความเครียดต่าง ๆ ที่เมื่อร้องไห้ออกไปแล้ว จะถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้ช่วยลดความเครียดลงได้ค่ะ
  • เป็นยาแก้ปวด: อาจฟังดูประหลาด แต่การร้องไห้นั้นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารออกซิโตซิน (oxytocin) และสารเอนโดรฟิน (endrophins) ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจค่ะ
  • และนอกจากนี้แล้ว ยังช่วยให้เจ้าหนูหลับสบาย อีกด้วยค่ะ!

 

ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ!

อย่างที่เห็นกันว่าการร้องไห้นั้นส่งผลประโยชน์ให้แก่ตัวเด็กมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก การดุด่า ต่อว่าเมื่อเขาร้องไห้ อาจส่งผลเสียมากกว่าดีค่ะ

เราอาจจะมองว่าการร้องไห้เป็นแสดงความอ่อนแอ เป็นการแสดงอารมณ์ที่ควรยับยั้งหรือหลบหนี แต่แท้จริงแล้วมันคือการเรียนรู้ทางอารมณ์ของเด็กวิธีหนึ่งค่ะ ควรมองว่าการร้องไห้เป็นเรื่องปกติ ส่วนมากเด็กที่ถูกอนุญาตให้ร้องไห้ได้โดยไม่ถูกต่อว่าหรือตัดกำลังใจจากผู้ใหญ่ จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เขาจะรับรู้ว่าผู้ใหญ่เข้าใจความรู้สึกและปัญหาของเขา และมีแนวโน้มที่จะทำให้เขาทนต่อการร้องไห้ได้มากขึ้นอีกด้วยค่ะ


แล้วถ้าเด็กร้องไห้ เราจะรับมือยังไงดีล่ะ?

วิธีรับมือเมื่อเจ้าหนูงอแง

  • ตามหาต้นตอ: สิ่งแรกเลยที่ต้องทำ คือตามหาสาเหตุของน้ำตาเจ้าหนูก่อนค่ะ ตรวจสอบให้ดีว่าเขาเจ็บตัวจากที่ไหนมาหรือเปล่า? เขากำลังเรียกร้องความสนใจอยู่ใช่หรือไม่? หรือร้องไห้เพราะอ่อนเพลีย? เมื่อตอบคำถามแรกได้แล้ว ให้ลองมองภาพรวม ว่าเด็กมีปัญหาในการสื่อสารหรือเปล่า? มีปัญหากับเพื่อนรอบข้าง หรือรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเขาหรือไม่? เมื่อรู้คำตอบแล้ว จะสามารถช่วยให้เขาก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นค่ะ
  • เข้าหาอย่างเข้าใจ: เป็นปกติที่เด็กจะต้องการพื้นที่ เวลา และความเข้าใจในระหว่างที่เขากำลังประสบอารมณ์รุนแรงอยู่ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ควรให้เวลาเขาทำความเข้าใจกับอารมณ์ของตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรเร่งรีบ หรือสั่งให้เขาหยุดทันที ให้พื้นที่เงียบ ๆ กับเขา บอกให้เขารู้ว่าเราเข้าใจและพร้อมอยู่ข้าง ๆ เสมอ และให้เวลาเขาจัดการอารมณ์ของตัวเองค่ะ
  • หาสิ่งบันเทิงใจ: แน่นอนว่านี่ไม่ใช่วิธีการห้ามเด็กร้องไห้ แต่ให้โอกาสเขาทำในสิ่งที่สามารถระบายอารมณ์ตัวเองออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับตุ๊กตา วาดรูป ระบายสี ร้องเพลง หรือเล่นกับของเล่นที่เขาชอบ การเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยทำให้เขาปรับอารมณ์ และเรียนรู้ที่จะระบายอารมณ์ออกในทางที่ดีค่ะ
  • เป็นพื้นที่อุ่นใจให้เขา: ควรส่งเสริมให้เขาเข้าใจว่าการเปิดเผยความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่ผิด ตั้งใจฟังเรื่องราวของเขาอย่างใจเย็น ไม่ด่วนแนะนำก่อนที่เขาจะเล่าจบ บอกให้เขารู้ว่าเราเข้าใจความรู้สึกของเขาตลอดเวลา ควรให้เกียรติในความรู้สึกของเด็ก ถึงแม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับมันก็ตาม สร้างพื้นที่อุ่นใจให้เขาเรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง จะช่วยให้เขาหัดควบคุมและระบายอารมณ์ในทางที่เป็นประโยชน์สำหรับตัวเขาค่ะ

ทุกการกระทำของเด็กย่อมมีอารมณ์เบื้องหลังเสมอ การทำความเข้าใจกับความรู้สึกของเด็กจะช่วยให้เราสามารถรับมือเมื่อเจ้าหนูงอแงได้ง่ายขึ้นค่ะ

Writer Profile : phanthirapuyou

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์
20 กรกฏาคม 2563
คำชม
9 กรกฏาคม 2564
เพราะแม่จะเป็นใครก็ได้
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save