fbpx

ความแตกต่างระหว่างลูกสาวกับลูกชาย

Writer : nunzmoko
: 28 มกราคม 2562

ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ นำสมัยจนทำให้เราสามารถเลือกเพศของลูกในท้องได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีเพศไหนที่จะสมบูรณ์แบบไปด้วยข้อดีเพียงอย่างเดียว การเลี้ยงดูเด็กทั้งสองเพศแตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจพัฒนาการความต่างของแต่ละเพศเพื่อดูเป็นแนวทางที่จะตัดสินใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ว่าจะมีลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงดี ไปดูข้อดีและความแตกต่างของเด็กแต่ละเพศกันเลยค่ะ

ข้อดีของการมีลูกผู้ชาย

1. ดูแลได้ง่ายกว่า

ดูแลง่ายในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะการฉี่ที่ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดมากเท่ากับเด็กผู้หญิง เพราะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า จึงลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการสะสมของสิ่งสกปรกน้อยลง

2. ใช้ชีวิตได้ปลอดภัยกว่า 

พ่อแม่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเท่ากับลูกผู้หญิง โดยเฉพาะเรื่องการถูกทำมิดีมิร้าย เพราะปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพศที่อ่อนแอกว่านั่นเอง

3. ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องท้อง

แน่นอนว่าการท้องเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ดังนั้นพ่อแม่ทั้งหลายจึงไม่ต้องมาคอยนั่งปวดหัวกับการท้องก่อนแต่งของลูกชาย หรือท้องไม่มีพ่อ โตขึ้นมาจึงหมดห่วงในเรื่องนี้ไปได้

4. ช่วยทำให้บ้านปลอดภัย

การมีลูกชายช่วยทำให้บ้านดูปลอดภัยมากกว่าการมีแค่ผู้หญิงอยู่ เมื่อพวกเขาโตขึ้นจึงทำหน้าที่เหมือนบอดี้การ์ดคอยปกป้องครอบครัวจากอันตรายได้บ้าง

5. ทำหน้าที่สืบสกุล

ด้วยวัฒนธรรมของไทย การแต่งงานคือการสืบสกุลชาติตระกูลของตัวเอง ผู้หญิงจึงจำเป็นต้องหันมาใช้นามสกุลของผู้ชาย (แม้ในปัจจุบันจะมีทางเลือกตามความสมัครใจก็ตาม) มากกว่า ซึ่งถือว่าเป็นข้อได้เปรียบเมื่อมีการจดทะเบียนสมรสเกิดขึ้น สกุลของบ้านที่มีลูกชายก็จะสามารถถูกสืบทอดต่อไปได้

6. ได้บวชเรียนให้กับพ่อแม่

พ่อแม่ที่มีลูกชายย่อมคาดหวังที่จะได้เห็นพวกเขาบวชเพื่อพวกตนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เป็นความเชื่อตามประเพณีไทย พ่อแม่จะรู้สึกดีใจมากเมื่อลูกบวชตามกำหนดเมื่อครบอายุ ให้พวกตนได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์

7. พ่อแม่ส่วนใหญ่หวังพึ่งพิง

เนื่องจากลูกชายมักจะมีความสามารถมากกว่าในการช่วยงานในสิ่งที่ผู้หญิงไม่สามารถทำได้ หรือไม่ค่อยมีความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถยนต์ การซ่อมแซมบ้านในส่วนต่างๆ ที่มีปัญหา มีลูกชายเอาไว้จึงเป็นเหมือนช่างประจำตัวของบ้านได้

ข้อดีของการมีลูกผู้หญิง

1. แต่งตัวสนุก

ด้วยชุดเสื้อผ้าสำหรับเด็กผู้หญิงมีให้เลือกมากกว่า คุณแม่จึงสามารถแต่งตัวให้ลูกสาวได้หลากหลาย แถมแต่ละชุดก็ดูน่ารักน่าชัง จะเปลี่ยนเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยๆ หรือตัวการ์ตูนแสนน่ารักก็ได้ตามใจชอบ

2. เป็นเพื่อนสนิทให้กับคุณแม่

ลูกผู้หญิงกับแม่เป็นเพศเดียวกัน ดังนั้นเมื่อใดที่ทั้งสองผูกพันและสนิทสนม คุณแม่ก็จะได้ไม่รู้สึกเหงา มีความสุขกับการได้มีเพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน หรือแม้แต่คนที่คอยช่วยเลือกเสื้อผ้าและเครื่องสำอางไปด้วยกัน

3. มีความอ่อนโยน

เด็กผู้หญิงมีพฤติกรรมที่อ่อนโยนมากกว่าในเด็กผู้ชาย มีนิสัยขี้อ้อน มีความอ่อนโยน อ่อนหวาน และมีมุมที่น่ารักจนคุณพ่อและแม่ต้องอมยิ้มอยู่บ่อยๆ จึงทำให้พวกเขาดูน่ารัก น่าทะนุถนอม

4. โตแล้วเลี้ยงง่ายกว่า

ลูกผู้หญิงส่วนมากซนน้อยกว่าและเชื่อฟังได้ดี มีความเมตตากรุณา จะสร้างลักษณะนิสัยพื้นฐานของตนเองโดยมีแม่เป็นตัวอย่าง จึงทำให้พ่อแม่เหนื่อยน้อยกว่าการเลี้ยงลูกชายที่มักจะซนเป็นลิงอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีพัฒนาการที่เรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดี จึงเชื่อฟังและทำตามอย่างง่ายดาย ไม่ค่อยแสดงออกด้วยพฤติกรรมต่อต้าน ก้าวร้าว

5. ช่วยทำงานบ้านได้ดี

เด็กผู้หญิงจะทำงานเป็นระเบียบและมีความละเอียดอ่อนได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า พับผ้า และงานบ้านอื่น ๆ พวกเขาสามารถใส่ใจกับรายละเอียดในจุดเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี จึงช่วยแบ่งเบาภาระของคุณแม่ให้น้อยลงได้

6. บ้าพลังน้อยกว่า

เพราะความอ่อนโยนเป็นพื้นฐานในตัวผู้หญิง เด็กๆ จึงมีโอกาสน้อยที่จะเข้าไปสร้างการทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับเพื่อนๆ เหมือนเด็กผู้ชาย มีความระมัดระวังในการทำสิ่งต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท จึงทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้น้อยกว่า ต่างจากเด็กผู้ชายที่ชอบความท้าทาย ผาดโผน จึงไม่ค่อยระมัดระวังตัวเองทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอยู่บ่อยๆ

7. ติดพ่อแม่มากกว่า

เด็กผู้หญิงส่วนมากจะติดพ่อแม่มากกว่าเด็กผู้ชาย จะชอบพูดคุยอยู่กับพ่อแม่ แต่เด็กผู้ชายมักจะหันเหจุดสนใจของตัวเองไปที่ของเล่น ที่สำคัญสังคมส่วนใหญ่ที่พบเมื่อเด็กผู้หญิงโตขึ้นก็มักจะให้ความสำคัญกับการดูแลครอบครัว ใส่ใจในรายละเอียด ไม่ค่อยปล่อยปละละเลยพ่อแม่ในยามแก่ชรา

พฤติกรรมแต่ละเพศของลูกๆ เป็นสิ่งที่พ่อแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงจุดต่าง การเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้หญิงหรือชายก็จะทำให้พ่อแม่สบายใจและมีความสุขได้ ดังนั้นหากไม่ได้เพศของลูกอย่างที่ตั้งใจไว้ ขอแค่ให้คุณพ่อและแม่เลี้ยงดูเขาให้ดี ก็จะทำให้ลูกๆ เป็นคนดีของครอบครัวและสังคม เป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบได้ไม่แพ้กันอย่างแน่นอนค่ะ

ที่มา – medthai.com

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



วิธีรับมือเมื่อลูกอาละวาด
เด็กอายุ 2-5 ขวบ
20 คำที่ไม่ควรพูดกับลูก
กิจกรรมของครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save