fbpx

ความต่างของการเลี้ยงลูกวัยอนุบาลกับวัยประถม

Writer : nunzmoko
: 13 มีนาคม 2562

เด็กแต่ละช่วงวัย มีความแตกต่างกัน ดังนั้นการเลี้ยงดูและดูแลเรื่องต่างๆ ก็ต่างกันไปด้วย ดังนั้น อย่างแรกคือคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กแต่ละวัยก่อน จากนั้นก็ปรับการเลี้ยงดูลูกให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี เติบโตเหมาะสมกับวัย วัยอนุบาลยังมีความเป็นเด็กอยู่มากก็ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ส่วนวัยประถมจะถูกประคับประคองน้อยลงจากวัยอนุบาล แต่ก็ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะมีพัฒนาการที่รวดเร็วทั้งร่างกาย จิตใจ ความคิด ไปดูกันว่าคุณพ่อคุณแม่จะมีแนวทางการเลี้ยงดูลูกทั้งสองวัยนี้อย่างไรค่ะ

ด้านร่างกาย

เด็กอนุบาล : ฝึกให้ลูกเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างเหมาะสม

เด็กประถม : ฝึกให้ลูกเริ่มเล่นกีฬาและออกกำลังกาย

พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัยอนุบาล มีการเคลื่อนไหว ส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้นคุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกมีพัฒนาการด้านร่างกาย เช่น รู้จักป้อนข้าวเอง แต่งตัวได้เอง ใส่รองเท้าและอาบน้ำได้ ส่วนเด็กช่วงอายุ 6-12 ปี หรือวัยประถม ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงและมีความสามารถเพิ่มขึ้นหลายด้าน เด็กจะใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดี คุณพ่อคุณแม่อาจจะให้ลูกเริ่มเล่นกีฬา ออกกำลังกาย  เช่น เตะฟุตบอล เล่นไล่จับ ซ่อนหา ว่ายน้ำ ปิงปอง เป็นต้น  การส่งเสริมให้ร่างกายหลายส่วนทำงานคล่องแคล่ว ประสานกัน ต้องอาศัยการฝึกฝนผ่านการทำกิจกรรมทั้งงานบ้าน การกีฬา การใช้ชีวิต ซึ่งจะไปส่งเสริมให้เด็กกระฉับกระเฉง หูไว ตาไว สมาธิดี ประสาทต่างๆ ทำงานได้รวดเร็ว

ด้านอารมณ์

เด็กอนุบาล : สอนให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ทำความเข้าใจความรู้สึกที่ลูกแสดงออกมา

เด็กประถม : สอนให้ลูกเข้าใจความรู้สึกของตนเอง และปรับตัวในสังคมอย่างเหมาะสม

พัฒนาการทางอารมณ์ ของเด็กวัยอนุบาลนี้มักเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดและโกรธง่าย ดื้อรั้นเป็นวัยที่เรียกว่าชอบปฏิเสธ และอาการดังกล่าวจะค่อยๆหายไปเองเมื่อเด็กเข้าโรงเรียนมีเพื่อนเล่นมาก แต่อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กจะมั่นคงเพียงใดขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูเป็นสำคัญ ดังนั้นควรสอนให้ลูกวัยอนุบาลนี้รู้จักใช้เหตุใช้ผล คอยรับฟัง ยอมรับและเข้าใจความรู้สึกที่ลูกแสดงออกมา ไม่ควรตำหนิ แต่ควรเปลี่ยนเป็นการให้กำลังใจแทน ส่วนในวัยประถมก็เช่นกัน  ควรสอนให้เด็กเรียนรู้จักกับทุกอารมณ์ ความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาและช่วยให้เขาสามารถหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อเป็นพื้นฐานของการแก้ปัญหา  ควรส่งเสริมให้เด็กวัยนี้ ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง และปรับตัวในสังคมอย่างเหมาะสม โดยฝึกฝนแนะนำ ให้คำชมเมือเด็กทำได้ดี และแก้ไขชักจูง แนะนำเมื่อเด็กทำตัวไม่เหมาะสม จะเป็นการสร้างเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ที่เรารู้จักกันดีในนามของอีคิว ซึ่งเป็นทักษะหรือศิลปะในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

ด้านสังคม

เด็กอนุบาล : พาลูกออกไปทำกิจกรรมก่อนเริ่มเข้าโรงเรียนเพื่อให้ชินกับสภาพแวดล้อมใหม่

เด็กประถม : สอนให้เด็กมีความรู้สึกดีต่อตนเองจะทำให้มีทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่น

ในวัยอนุบาลพ่อแม่ต้องช่วยลูกในการปรับตัวด้านสังคมเพราะเป็นช่วงที่ลูกเพิ่งจะเริ่มมีสังคม มีเพื่อนใหม่ เจอคุณครูซึ่งไม่ได้มีแต่คุณพ่อคุณแม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน ควรฝึกให้ลูกรู้จักอยู่ร่วมกับผู้อื่น พาไปเข้าสังคม ทำกิจกรรมในช่วงก่อนเริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาล ส่วนวัยประถมก็จะเป็นสังคมที่โตขึ้นเป็นการออกสู่สังคมภายนอกอย่างจริงจัง เด็กจะได้เรียนรู้ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการปรับตัวที่โรงเรียน การที่เด็กจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ดี จะต้องมาจากรากฐานครอบครัวที่มีความรัก เอื้ออาทร มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือในยามที่ต้องการเมื่อประสบกับปัญหา ชื่นชมความดีในความสามารถของเด็กแต่ละคนอย่างเหมาะสม เป็นหนทางที่ช่วยให้เด็ก มีความรู้สึกดีต่อตนเอง เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง มีอารมณ์มั่นคง  ภาคภูมิใจในตนเอง มีทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่น

ด้านการเรียน

เด็กอนุบาล : เด็กเล็กเน้นฝึกสมาธิให้ลูก

เด็กประถม : การเรียนหนักขึ้นให้ลูกผ่อนคลายบ้าง

การเรียนในชั้นประถมจะต่างจากอนุบาลคือ มีการเรียนวิชาการเป็นชั่วโมงๆ เด็กต้องนั่งเรียนเป็นเวลานานๆ อาจรู้สึกเหนื่อยและเบื่อได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ไม่ลืมที่จะให้ลูกได้ผ่อนคลายบ้าง ส่วนเด็กอนุบาลพยายามฝึกสมาธิให้ลูกให้ลูกมีสมาธินั่งเรียนได้เพราะยังเป็ยวัยซุกซนอยากเล่นตลอดเวลา

เด็กอนุบาล : การบ้านไม่มากแต่ต้องมีช่วงเบรค

เด็กประถม : แบ่งเวลาตรวจการบ้านและทบทวนหนังสือให้ลูก

เด็กวัยประถมมีการบ้านมากกว่าเด็กอนุบาล พ่อแม่ควรแบ่งเวลาช่วยเหลือเรื่องบทเรียนของลูก เช่น ช่วยตรวจการบ้านที่ลูกทำว่าถูกต้องหรือไม่ ส่วนเด็กอนุบาลที่มีการบ้านไม่มากแต่ก็เป็นช่วงวัยที่ยังต้องการเล่นอยู่มาก ควรมีช่วงเบรกให้ลูกพัก และไม่บังคับลูกมากจนเกินไป นอกจากช่วยตรวจการบ้านลูกแล้วช่วยลูกในการทบทวนบทเรียนวันละเล็กวันละน้อยก็เป็นสิ่งสำคัญในวัยอนุบาลควรให้ลูกทบทวนวันละ 1 บทเรียนหรือ 1 วิชา เพื่อไม่ให้หนักมากจนเกินไป ส่วนวัยประถมควรหาเวลาอ่านหนังสือกับลูกวันละ 15-30 นาทีในช่วงเช้า เพราะช่วงเช้าสมองของลูกยังสดชื่นอยู่ ไม่เหนื่อยล้าเหมือนช่วงเย็นหรือช่วงค่ำที่เหน็ดเหนื่อยจากการเรียนมาทั้งวัน

ด้านความรับผิดชอบ

เด็กอนุบาล : ฝึกระเบียบการดูแลตนเองในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ ก่อน

เด็กประถม : ให้ลูกช่วยเหลือตนเองด้านต่างๆ และแบ่งให้รับผิดชอบงานบ้านบ้าง

คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ทั้งลูกวัยอนุบาลและลูกวัยประถมมีความรับผิดชอบแต่วัยอนุบาลอาจจะให้รับผิดชอบเรื่องส่วนตัวเองก่อน เช่น การอาบน้ำ แปรงฟัน เก็บของเล่น ส่วนลูกวัยประถมควรฝึกให้รับผิดชอบทั้งเรื่องส่วนตัว และรับผิดชอบงานส่วนรวมบางส่วน  เช่น งานบ้าน งานส่วนรวมในห้องเรียน เป็นต้น ฝึกให้เด็กช่วยตัวเองมากที่สุด เช่น อาบน้ำแต่งตัว กินอาหาร จัดกระเป๋านักเรียน การฝึกอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นพื้นฐานการสร้างวินัยในตนเอง จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบในหน้าที่ เป็นการฝึกบริหารเวลาและชีวิต ฝึกทักษะการแก้ปัญหาง่ายๆ ให้กับตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก

ไม่ว่าจะวัยไหนๆ เด็กก็ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ในทุกๆ ด้าน ให้เด็กได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและเพียงพอเพื่อสมองจะได้เจริญเต็มที่ ดูแลให้ลูกได้นอนหลับพักผ่อน ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรมีความเข้าใจกันซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่นมั่นคงภายในบ้าน แสดงความรักความเอาใจใส่ ความห่วงใยในตัว ลูกให้ลูกได้รับรู้อยู่เสมอจะช่วยให้เด็กเติบโตมีอารมณ์มั่นคง เข้ากับคนอื่นในสังคมได้อย่างดี

ที่มา :

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



วิธีพาลูกขึ้นขนส่งสาธารณะครั้งแรก
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
เคล็ดลับฝึกลูกให้มีสมาธิ
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
เด็กผู้หญิงโตเร็วกว่าปกติได้อย่างไร ?
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
กิจกรรมเสริมเชาว์ปัญญาให้ลูกช่วงปิดเทอม
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save