fbpx

เจาะลึก 5 โรงเรียนทางเลือกที่แตกต่างกัน สำหรับลูกวัยอนุบาล

Writer : nunzmoko
: 7 สิงหาคม 2561

โรงเรียนทางเลือก เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะเป็นโรงเรียนที่มีแนวการเรียนการสอนต่างจากโรงเรียนหรือการศึกษากระแสหลัก แต่ยังอยู่ในกฎหมายรองรับและจัดการศึกษาที่อิงกับระบบของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนเลือกมีการปรับแนวการสอนมาให้เด็กเรียนรู้จากนอกห้องเรียน เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ รู้จักตั้งคำถามเอง หรืออาจเป็นโรงเรียนที่ตอบสนองต่อความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก โดยจะมีการปรับการสอนและแนวคิดเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเด็กเฉพาะ เช่น เด็กมีปัญหาด้านพฤติกรรม เด็กที่มีแนวโน้มเลิกเรียนกลางคัน หรือเด็กอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งวันนี้เราจะพาไปเจาะลึกกับ 5 โรงเรียนทางเลือกสำหรับลูกอนุบาลที่น่าสนใจ ว่าจะมีรูปแบบการเรียนการสอนอย่างไร เพื่อประกอบการตัดสินใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะส่งลูกเข้าเรียนค่ะ

1. โรงเรียนเพลินพัฒนา

  • ที่อยู่ : 33/39-40 ถนนสวนผัก แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170
  • โทรศัพท์ : 02-885-2670-5, 02-885-2685-87
  • เว็บไซต์โรงเรียน : www.plearnpattana.com

แนวการสอน : แบบวอลดอร์ฟ (Waldorf Method) 

แนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf Method) คือเน้นเรื่องจินตนาการของเด็กและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ซึ่งโรงเรียนเพลินพัฒนา เป็นหนึ่งในโรงเรียนทางเลือกที่มีการจัดสภาพแวดล้อม และจัดกระบวนการการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กในแต่ละช่วงวัย และยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่เสริมเข้ามา เพื่อช่วยสนับสนุนพัฒนาการหลายด้านของเด็กๆ โดยมีแนวคิดหลักที่สำคัญที่สุดคือ “เรียนรู้ผ่านการเล่น”

หลักสูตร : เป็นการผสมผสานนวัตกรรมต่างๆ

โรงเรียนมีวิธีการส่งเสริมพัฒนาการที่สอดคล้องกับธรรมชาติในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละช่วงวัยเป็นหลัก เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพสูงสุดในเด็กเป็นรายบุคคล เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ เพราะวัยอนุบาลเป็นวัยที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้ สามารถซึมซับอะไรได้ง่ายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก โดยมีกิจกรรมพัฒนาประสาทสัมผัสรับรู้ กิจกรรมทางภาษา กิจกรรมดนตรีและการเคลื่อนไหว กิจกรรมศิลปะ ฯลฯ รวมถึงการเรียนรู้ที่อาศัยการบ่มเพาะและซึมซับผ่านกิจวัตรประจำวันที่สร้างให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาความรู้ความสามารถ จากการปฏิบัติจริงจนชำนาญ สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งและบุคคลต่างๆ รอบตัวกับตัวเด็กได้

แผนการสอน : เรียนรู้เป็น Mind Map 

แต่ละภาคเรียนจะมีการวางแผนกันก่อนที่จะเปิดเทอม ซึ่งที่เพลินพัฒนาจะแบ่งออกเป็น 4 ภาคเรียน คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา โดยแต่ละภาคเรียนจะะเรียน 10 สัปดาห์ ซึ่งจะต้องวางแผนการสอนออกมาเป็น Mind Map เสียก่อน ว่าแต่ละสัปดาห์จะสอนเรื่องอะไรเป็นหลักบ้าง แล้วครูของแต่ละชั้นก็จะเอาโจทย์ใหญ่มาลงรายละเอียดการสอนอีกที ว่าจะสอนเด็กยังไง ใช้อะไรเป็นสื่อในการสอน เช่น ถ้าโจทย์ใหญ่ คือ สอนเรื่องข้าว ครูก็ต้องไปวางแผนการสอนของตัวเองมาว่าจะสอนให้เด็กๆ รู้จักข้าวอย่างไร ครูบางคนก็จะเอาข้าวสารหลากหลายชนิดมาให้เด็กๆ ได้ดู และได้ลองชิมข้าวชนิดนั้นๆ ที่หุงสุกแล้ว ซึ่งจะทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ความแตกต่างของข้าวแต่ละสายพันธ์

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือการพัฒนาบุคลากรครูของเพลินพัฒนา คือ ครูจะต้องรู้สึกผ่อนคลาย เพราะถ้าหากครูเครียด ความเครียดต่างๆ ก็จะส่งผ่านไปถึงเด็กๆ ด้วย รังสีความเครียดของครูก็จะปกคลุมห้องเรียนไปด้วย ดังนั้นการสร้างกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายในการรวมกลุ่มย่อยของครูกับฝ่ายวิชาการ ก็ถือเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากการสอนให้ครูด้วยอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญของโรงเรียนค่ะ

ภาพจาก – aboutmom

2. โรงเรียนอนุบาลกรแก้ว

  • ที่อยู่ :124 ซอยระนอง 1 ถนนพระรามที่ 5 เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
  • โทรศัพท์ : 02-241-1516, 02-243-5563
  • เว็บไซต์โรงเรียน : www.kornkaew.ac.th

แนวการสอน : แบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Method) 

แนวการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Method) คือการสอนให้สัมพันธ์กับพัฒนาการความต้องการ ตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคน คำนึงถึงความต้องการของเด็กในการเรียน โรงเรียนจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับวัยให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง ทำให้เด็กได้เรียนรู้อย่างอิสระ จะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการจากการค้นหาการเรียนรู้ ได้รับเสรีภาพในขอบเขตที่จำกัด จากสิ่งแวดล้อมที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ให้ และจะทำให้เด็กได้รับผลสำเร็จตามความต้องการของเขา

หลักสูตร : ให้ความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน 

เป็นหลักสูตรที่มาจากการนำหลักการ แนวคิด ทฤษฎี ของมอนเตสซอรี่ มาปรับและพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทย โดยให้ความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน ให้อิสระผู้เรียน ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีอิสระภาพในการคิดและตัดสินใจ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า และการเคลื่อนไหวเพื่อการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดความสนใจของผู้เรียนเอง เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสได้สะสมการเรียนรู้นั้น ประสบการณ์ ความจำ และความเข้าใจ จนในที่สุดสามารถนำออกมาใช้ในแบบของความคิดได้เอง และแก้ปัญหาได้เองอย่างสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบของ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม โดยการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ และส่งเสริมประสบการณ์ที่หลายหลายให้แก่ผู้เรียน

แผนการสอน : กลุ่มประสบการณ์ชีวิต กลุ่มประสาทสัมผัส และกลุ่มวิชาการ

ในห้องเรียนกิจกรรมมอนเตสซอรี่ มีกิจกรรมหลักอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

1. กิจกรรมต่างๆ ในกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีวัตถุประสงค์ในการฝึกเด็กให้มีระเบียบวินัย มีสมาธิ เป็นตัวของตัวเอง สามารถตัดสินใจได้เอง เรียนรู้กระบวนการในการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่-มัดเล็ก และกล้ามเนื้อมือ ฝึกตา-มือ ประสานสัมพันธ์ เป็นการปูพื้นฐานในการเรียนต่อไป

2. กิจกรรมต่างๆ ในกลุ่มประสาทสัมผัส มีวัตถุประสงค์ในการฝึกประสาทสัมผัส อุปกรณ์ต่างๆ ในกลุ่มนี้จะช่วยนำทางให้เด็กได้ช้ประสาทสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม เด็กจะได้สำรวจเพื่อค้นหา และทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เป็นเส้นทางสู่การเรียนรู้โลกภายนอก ทำให้สามารถมองเห็นได้กว้าง และไกลด้วยความเข้าใจยิ่งขึ้น

3. กิจกรรมต่างๆ ในกลุ่มวิชาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อปูพื้นความรู้ให้กับเด็กเกี่ยวกับจำนวน ตัวเลข การอ่าน และการเขียน โดยเด็กจะได้เรีนรรู้ผ่านกระกวนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจากรูปธรรมสู่นามธรรม โดยใช้อุปกรณ์ของมอนเตสซอรี่เป็นสื่อ

ตัวอาคารเป็นบ้านกึ่งโรงเรียน มีเนื้อที่กว้างขวาง ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น อากาศปลอดโปร่งสะอาด ปลอดภัย มีศาลาเรือนไทย สนามเด็กเล่น ลานจักรยาน สระว่ายน้ำ แปลงปลูกพืชผักสวนครัว มีการเรียนทั้งในและนอกห้องเรียน โดยนักเรียนจะเดินไปตามกิจกรรมต่างๆ ได้

ภาพจาก – kiddymaster

3. โรงเรียนทอสี 

  • ที่อยู่ : 023/46 ซอยปรีดีพนมยงค์41 ถนนสุขุมวิท71 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
  • โทรศัพท์ :  0-2713-0260-1
  • เว็บไซต์โรงเรียน : www.thawsischool.com

แนวการสอน : แบบวิถีพุทธ (หรือ พุทธธรรมประยุกต์)

มีกระบวนการจัดการเรียนรู้ลักษณะ “สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น” การเรียนรู้ในชั้นเรียนจะเป็นลักษณะการบูรณาการพุทธธรรมในการเรียนรู้ ทั้งความรู้ กระบวนการฝึกปฏิบัติ และมีการวัดประเมินทุกหน่วยการเรียนรู้ โดยเฉพาะด้านคุณลักษณะนิสัย ศรัทธา ค่านิยม ที่ส่งเสริมให้เกิดความเจริญงอกงามตามลักษณะแห่งปัญญาวุฒิธรรม 4 ประการ คือ

  1. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึง การอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผู้รู้
  2. สัทธัมมัสสวนะ หมายถึง เอาใจใส่ศึกษา โดยมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ดี
  3. โยนิโสมนสิการ หมายถึง มีกระบวนการคิดวิเคราะห์ พิจารณาเหตุผลที่ดีและถูกวิธี
  4. ธัมมานุธัมปฏิปัตติ หมายถึง ความสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูก

หลักสูตร :  เน้นการสร้างเครือข่ายของกัลยาณมิตร

การทำงานของโรงเรียนทอสี เน้นการสร้างเครือข่ายของกัลยาณมิตรเพื่อช่วยเหลือ เกื้อกูล แบ่งปัน สนับสนุน ทั้งกำลังกาย กำลังใจซึ่งกันและกัน การร่วมมือกับชุมชน ร่วมมือกับสถาบันต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้โดยมีแกนกลางความร่วมมือระหว่างโรงเรียนทอสี โรงเรียนอนุบาลหนูน้อยและโรงเรียนรุ่งอรุณ ดังตัวอย่าง เช่น การจัดให้มี “การเปิดบ้านสามประสาน” เพื่อแสดงให้เห็นว่าการศึกษาวิถีพุทธทำได้จริงๆ เป็นการสะท้อนภาพ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตทั้งครู เด็ก ผู้ปกครอง จากทั้ง 3 โรงเรียน มุ่งสู่เป้าหมายของการพัฒนาสังคมที่มี “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” มากขึ้นๆ

แผนการสอน : พัฒนาทั้งด้านความประพฤติ จิตใจ และปัญญา

โรงเรียนวิถีพุทธจะมีการจัดกิจกรรมหลากหลายและต่อเนื่องเป็นวิถีชีวิต เพื่อให้เด็กๆ รู้จักคิดและได้ฝึกปฏิบัติเสมอๆ ให้เกิดการพัฒนาทั้งด้านความประพฤติ จิตใจ และปัญญาไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกิน อยู่ ดู ฟัง ในชีวิตประจำวันที่มีสติสัมปชัญญะคอยกำกับ เพื่อเป็นไปตามคุณค่าแท้ของการดำเนินชีวิต ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น สวดมนต์ก่อนและหลังเลิกเรียน นั่งสมาธิ มีการเวียนเทียนในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เข้าค่ายธรรมมะ ฯลฯ

มุ่งเน้นให้เด็กเกิดพฤติกรรมที่มีเป้าหมายในเรื่องของชีวิต สามารถช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ ซึ่งรวมถึงการปลูกฝังเรื่องความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ที่เป็นคุณธรรมสำหรับวัยเด็ก สอดคล้องกับหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา และเรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม รู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง สร้างสังคมที่ดีมีคุณภาพ ผ่าน ‘การกิน อยู่ ดู ฟังเป็น’ นั่นเอง

ภาพจาก – thawsischool

4. โรงเรียนอมาตยกุล

  • ที่อยู่ : 100/20,23 ซอย 51 ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220
  • โทรศัพท์ :  02-972-8890, 02-972-8894, 02-552-3291
  • เว็บไซต์โรงเรียน : www.amatyakulschool.com

แนวการสอน : แบบนีโอ-ฮิวแมนนิสต์ (Neo-Humanist Education)

โรงเรียนตามแนวคิดนีโอฮิวแมนนิสที่มีความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ ว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่มีพัฒนาการสูงที่สุด มีความต้องการจากภายในที่จะพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด การพัฒนาคนตามแนวนีโอฮิวแมนนิสจึงมีหน้าที่จะต้องช่วยพัฒนาศักยภาพแฝงเร้นที่มีอยู่ในตัวคนเราให้แสดงออกมาได้อย่างสูงสุดด้วย การทำให้คนเราโดยเฉพาะในเด็กๆ ให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self -Esteem)

หลักสูตร : การพึ่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

การพัฒนาคนตามแนวนีโอฮิวแมนนิสจึงเป็นการพัฒนาในทุกๆ ด้านของคนเราให้กลายเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

  • Physically Fit หรือ มีร่างกายที่แข็งแรง ได้สัดส่วน สวยงาม
  • Mentally Strong หรือ มีจิตใจที่มั่นคง เปิดกว้าง เฉลียวฉลาด
  • Spiritual Elevated หรือ มีจิตสาธารณะ
  • Academic Knowledge หรือ มีความรู้ที่จะนำไปประกอบอาชีพที่ตัวเองถนัดและต้องการได้

แผนการสอน : ฉลาด แข็งแรง มีความคิดด้านบวก

การสอนเด็กตามแนวนีโอฮิวแมนนิส คือ แนวทางในการทำให้เด็กเก่ง ฉลาด แข็งแรง มีความคิดด้านบวก มีน้ำใจ และมีความสุข โดยวิธีการด้านบวก ดังต่อไปนี้

1. การสร้างบรรยากาศให้คลื่นสมองต่ำ เด็กๆ จะมีการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้สูงสุดเมื่อจิตใจอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายที่สุด มีการค้นพบว่า มีปัจจัหลายๆ ประการที่มีอิทธิพลต่อคลื่นสมองของคนเรา เช่น เสียงเพลง คนรอบข้าง อาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย คำพูด การฝึกโยคะ และการทำสมาธิ

2. การพัฒนาเซลล์ประสานประสาท ความฉลาดของสมองขึ้นอยู่กับเซลล์ประสานประสาท ซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์สมอง ยิ่งเซลล์ประสานประสาทนี้เกิดขึ้นมากเท่าใด สมองย่อมจะทำงานดีขึ้น ทำให้สมองฉับไว มีความจำดี โดยเฉพาะในช่วงเด็กเล็กๆ ทำให้กล้ามเนื้อมือและกล้ามเนื้อเท้าของเด็กแข็งแรง เส้นประสาทเหล่านี้จะเชื่อมไปยังสมอง เช่น กิจกรรมโยคะ การเต้นรำ ยิมนาสติกและตีลังกา วิ่ง ว่ายน้ำ ปีนป่าย ฯลฯ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้หลากหลาย เช่น ความช่างสังเกต กีฬา ดนตรี การทำสมาธิ ฝึกความจำ การทำคลื่นสมองต่ำ ภาษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฯลฯ

3. การให้ความรัก เติบโตมาท่ามกลางรอยยิ้ม คำชมเชย คำพูดให้กำลังใจ ความเข้าใจ การให้อภัย การกอด การสัมผัส และความเป็นเพื่อนของคนในครอบครัว และจากที่โรงเรียน สัมผัสที่อบอุ่น รอยยิ้มที่อ่อนโยน เสียงหัวเราะ และแววตาที่ให้กำลังใจ ให้คนเรามีพลังในการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิต

ภาพจาก – kiddymaster

5. โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์

  • ที่อยู่ : 9 ถนน นราธิวาสราชนครินทร์ ซอย18 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120
  • โทรศัพท์ :  02-678-4612
  • เว็บไซต์โรงเรียน : www.maneerut.com

แนวการสอน : แบบเรกจิโอ เอมิเลีย (Reggio Emilia)

มีหลักคิดสำคัญคือ การเรียนรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์และบริบทที่เด็กอยู่เป็นตัวกำหนด ซึ่งหมายความว่าชุมชน สภาพแวดล้อมที่อยู่โดยรอบจะเป็นตัวกำหนดและมีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก เช่น อาคารสถานที่ วิถีชีวิต วัฒนธรรม พ่อแม่ เพื่อน หรือแม้แต่สัตว์ ก็เป็นสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก

หลักสูตร : มุ่งเน้นที่จะยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง

โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์ มุ่งเน้นที่จะยึดเด็กเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของการเรียนการสอน (Child Center) การมองเด็กอย่างเข้าใจ และเป็นหลักในการออกแบบกระบวนการของการเรียนการสอนนำนวัตกรรม หลักการ หลักสูตร และแนวคิดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ให้เข้ากับสังคมและสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น Project Approach, Brain Based Learning, Multiple Intelligence (พหุปัญญา), Integration, Whole Language ฯลฯ ดังนั้นหลักสูตรของโรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์จึงมีเอกลักษณ์ที่ทำให้เด็กทุกคนเป็นคนที่รู้จักขวนขวายหาความรู้ มีทักษะความสามารถเฉพาะตัว ช่างคิด กล้าแสดงออก ในบริบทของวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม และที่สำคัญ มีทัศนคติที่ดีและมีความสุขกับการเรียน

แผนการสอน : ให้เด็กทุกคนแสดงศักยภาพในตัวเอง

จากแนวคิดที่ว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง และจะต้องเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์จากสิ่งรอบตัว ซึ่งจะเห็นแนวการเรียนการสอนได้อย่างชัดเจนในดังนี้

1. เรียนรู้ผ่านการทำโครงการต่างๆ ซึ่งจะมีครูเป็นผู้แนะนำหรือทำรายการของหัวข้อโครงการที่น่าสนใจไว้ให้เด็กได้เลือกตามความสนใจของตัว หรือจะเสนอหัวข้อที่ตัวเองสนใจนอกเหนือจากที่ครูเสนอแนะก็ได้ โดยมีครูเป็นผู้สังเกตการณ์ ตั้งคำถาม และจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เอื้อกับการทำโครงการของเด็ก

2. ค้นคว้าหาความรู้อยากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์จริง เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ หอแสดงงานศิลปะ แปลงปลูกผัก เป็นต้น ซึ่งอาจจะไปกับครูและกลุ่มเพื่อน หรือมีผู้ปกครองไปด้วย หรือสถานที่ที่ไปจะมีผู้ดูแลสถานที่ที่คอยให้ความรู้ ตอบคำถาม และตั้งข้อซักถามความคิดเห็นของเด็กๆ อยู่ตลอดเวลา จากนั้นเด็กจะได้คิดต่อยอดถึงสิ่งที่จะทำต่อการไปสถานที่ต่างๆ และการได้รับข้อมูลจากผู้รู้และสิ่งที่อยุ่รอบๆ ตัวในสังคมที่ตัวเองอยู่

3. ใช้ศิลปะ เป็นหนึ่งเครื่องมือในการสื่อสาร สิ่งที่ตัวเองคิด และกระบวนการเรียนรู้ของตัวเอง เช่น วาดรูป ระบายสี ปั้นดิน การประดิษฐ์ หรือแม้แต่การเขียนข้อความ การแต่งกลอน เป็นต้น โดยครูจะตั้งหัวข้อให้เด็กเลือกเพื่อแสดงออกทางความคิดของตัวเองผ่านศิลปะที่เด็กชอบ เปิดโอกาสให้เด็กได้อธิบายผลงานตัวเองว่าสื่อถึงอะไรบ้าง มากจากแนวคิดอะไรบ้าง ซึ่งนอกจากจะเป็นการเปิดจินตนาการของเด็กแล้ว ยังฝึกการสื่อสารกับผู้อื่นอย่างเป็นระบบ

4. ให้โรงเรียนเป็นสถานที่สำหรับบูรณาการความรู้ โรงเรียนเป็นเหมือนสถานที่ระกว่างกลางของเด็ก ผู้ใหญ่ และสังคม ที่จะมามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน นั่นหมายความว่าครู ผู้ปกครองจะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก มีส่วนช่วยในการออกแบบการเรียนรู้ ร่วมรับรู้สิ่งที่เด็กกำลังเรียนรู้ เช่น การเข้าร่วมประชุมต่างๆ การเข้าร่วมการทำโครงการของเด็กๆ รวมถึงชุมชนที่จะต้องมีส่วนร่วมกับโรงเรียน รวมถึงการจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนและในชุมชนที่เหมาะสมกับการเรียนรู้

ภาพจาก – maneerut

โรงเรียนทางเลือก เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่พ่อแม่ให้ความสนใจเพราะแนวการสอนที่เหมาะกับพฤติกรรม ความสนใจของลูกๆ แต่การเลือกโรงเรียนให้ลูกนอกจากจะเลือกจากแนวการสอนที่จะส่งเสริมศักยภาพของลูกให้เด่นขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น สภาพแวดล้อม การเดินทาง ค่าเทอม รวมถึงความพร้อมของลูก ดังนั้นก่อนเลือกโรงเรียนให้ลูก คุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาหลายๆ ปัจจัยเพื่อเลือกโรงเรียนที่ดีและเหมาะสมกับลูกของเราที่สุดค่ะ

ที่มา :

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



วิธีสอนลูกเอาตัวรอดเมื่อติดอยู่ในรถ
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
เทคนิคฝึกลูกรักก่อนไปโรงเรียนวันแรก
เด็กวัยเข้าโรงเรียน
Update
ไลฟ์สไตล์ ไลฟ์สไตล์
เคยกลับบ้านมาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านเพราะเจ้าตัวแสบไปวิ่งเล่นเลอะเทอะกันไหมคะ ? หรือแต่งตัวลูกอย่างดีไปทานข้าวนอกบ้าน แต่คุณลูกก็ทำซอสหกใส่ ไอติมหล่นไปเป็นก้อน เละทั้งตัว วันนี้ ParentsOne มีเสื้อเด็กที่เจ๋งมากๆ จาก GQ : the good day lab™ มาลองรีวิวให้ได้ชมกันค่ะ 🛒 ช้อปเลยที่ -> https://gqsize.link/bZT7Sx แกะกล่อง GQ : the good day lab™ เสื้อเด็ก ฟีเจอร์เพียบ คุณภาพ GQ ขึ้นชื่อว่า GQ ก็มั่นใจได้เรื่องคุณภาพค่ะ ผ้านุ่ม เบาบาง เหมาะกับอากาศเมืองไทย ใส่วิ่งสบายๆ ที่แปลกตาคือเป็นเสื้อที่ไม่มีป้ายแท็กค่ะ ทั้งด้านหลังคอเสื้อ หรือข้างใน ไม่ต้องห่วงว่าจะเคืองหรือคันเลย กระดุมแข็งแรงเอามากๆ ใช้แรงผู้ใหญ่ดึงแรงๆ ก็ไม่มีปัญหาเลย ไฮไลท์สำคัญที่คุณแม่แทบกรี๊ด คือเป็นไม่เปื้อนค่าาาา เทน้ำ เทนมใส่เสื้อ ไม่เปียกเลย สะบัดสองที หายปกติ ซึ่งถ้าใครเคยเห็นโฆษณา GQ ที่เสื้อเชิ้ตขาวไปทำงานคุณพ่อ โดนกาแฟหกใส่ แต่ผ้าไม่เปื้อนเลย เทคโนโลยีผ้าสะท้อนน้ำ ตอนนี้มาอยู่ในเสื้อเด็กแล้ววววว ทีมงานทดสอบเทน้ำสีผสมอาหาร นม หรือแม้แต่ซอสมะเขือเทศลงบนเสื้อ ก็ไม่เปื้อนค่ะ ไม่น่าเชื่อมากๆ ข้อดีที่สุดของผ้าแบบนี้ คือทำให้ชีวิตคุณแม่สบายขึ้นมาก พาลูกไปเที่ยว วิ่งเล่นสนามหญ้า พาไปทานก๋วยเตี๋ยว หรือให้ทานอะไร ก็ไม่ต้องกลัวเสื้อสวยๆ เลอะ แถมประหยัดเวลาซักผ้าด้วย ไม่ต้องมาคอยแช่ผ้าให้คราบมันออกแบบสมัยก่อน สำหรับเสื้อเด็ก the good day lab™…
8 ธันวาคม 2566

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save