fbpx

ทำไมผู้หญิงญี่ปุ่นถึงนิยมเป็น"แม่บ้านเต็มตัว"กันนะ ?

: 11 กรกฏาคม 2561

หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมผู้หญิงญี่ปุ่นถึงเป็นแม่บ้านกันเยอะมากๆ หลังจากที่แต่งงานกันไปแล้วก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก ทำงานบ้าน เป็นกิจวัตรที่วนเวียนไปอยู่ในทุกๆ วัน แตกต่างจากประเทศไทยนิดหน่อยที่บางครอบครัวนิยมที่จะให้คุณภรรยาทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย แบ่งเบาภาระของกันและกัน แต่ที่ญี่ปุ่นนั้นมีความคิดที่แตกต่างออกไป

จากผลสำรวจจากเว็บไซต์ www.sirabee.com พบว่าจากผลสำรวจจะมีผู้หญิงที่ต้องการเป็นแม่บ้านเต็มตัวถึง 1 ใน 3 โดยผลสำรวจจากผู้หญิงอายุ 20-60 ปี หลังจากแต่งงานแล้วอยากจะเป็นแม่บ้านเต็มตัวและไม่อยากที่จะออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนกับคุณผู้ชาย วันนี้เราเลยอยากจะมาสรุปเหตุผลที่ผู้หญิงญี่ปุ่นอยากเป็นแม่บ้านเต็มตัวมาให้ดูกัน

สะดวกสบาย

หน้าที่ของการเป็นแม่บ้านเต็มตัว หลักๆ คือ การทำงานบ้าน ดูแลลูกๆ คอยช่วยเหลือสามี ทำกับข้าว ซื้อของเข้าบ้าน ฟังดูแล้วอาจจะลำบากแต่ถ้าเฉลี่ยแล้วเวลาทำงานบ้านทั้งหมดจะกองอยู่ที่ช่วงเช้า ตั้งแต่ประมาณตี 4-8 โมงเช้า นั่นคือเวลาหลังจากสามีไปทำงานแล้วนั่นเอง เพราะหลังจากที่สามีออกไปทำงาน ก็เป็นหน้าที่ของแม่บ้านอย่างเราๆ ที่ต้องเก็บกวาดบ้าน ซักผ้า ตากผ้า กิจกรรมทุกอย่างของแม่บ้านจะเสร็จไม่เกินเที่ยง ฉะนั้นเวลาที่เหลือช่วงบ่ายถึงเย็นก็จะเป็นเวลาพักผ่อน หรือออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ

ได้ใกล้ชิดกับลูก

แม่บ้านบางคนเพิ่งจะมีลูกไม่นานยังไม่ได้เข้าอนุบาล ก็จะมีเวลาอยู่กับลูกทั้งวัน พาลูกไปเดินเล่นบ้าง ไปเที่ยวตลาดบ้าง พาไปเจอเพื่อนๆ บ้าง นับว่าได้ดูแลลูกแบบเต็มเวลาด้วย

มีรายได้

ผู้หญิงญี่ปุ่นถึง 5% ที่คิดว่าจะได้รายได้จากการเป็นแม่บ้านเต็มตัวถึง 2 ล้านเยนต่อปี (ประมาณเกือบ 6 แสนบาท/ปี = 50,000 บาท/เดือน) เพราะคิดว่าการเป็นแม่บ้านจะได้เงินจากคุณสามีบ้างในแต่ละเดือนแต่ก็ไม่ใช่เป็นแบบนั้นเสมอไป เป็นความคิดส่วนหนึ่งของผู้หญิงที่คิดจะเป็นแม่บ้านเต็มตัวเท่านั้น เพราะที่ญี่ปุ่นร้านค้ามากมายที่ต้อนรับแม่บ้านเต็มตัวในการทำงาน Parttime ด้วย แม่บ้านบางคนก็เลือกที่จะช่วยสามีในการแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายโดยการไปหางานพิเศษทำในระหว่างที่ลูกไปโรงเรียนก็มีนะคะ

ไม่อยากไปทำงาน

เพราะสังคมการทำงานของญี่ปุ่นการเป็นเพศหญิง บางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกกดดันจากเจ้านาย ได้ทำงานเป็นเลขาบ้าง ได้เป็นพนักงานทั่วไปแต่กลับต้องไปชงกาแฟ และรับใช้เจ้านายนอกเหนือหน้าที่บ้าง ทำให้รู้สึกอึดอัดในการทำงาน และไม่อยากไปทำงานจึงเลือกที่จะอยากเป็นแม่บ้านเต็มตัวมากกว่า

มีสังคมเป็นของตัวเอง

ในญี่ปุ่นด้วยความที่เป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก ส่วนมากบ้านก็จะเป็นบ้านที่อยู่ไม่ไกลกัน ในยามเย็นส่วนมากก็จะพาลูกๆ ไปเล่นที่สวนสาธารณะ ไปเดินซื้อของทำกับข้าวที่ตลาดบ้าง จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะได้พบกับคนที่เป็นแม่บ้านเต็มตัวด้วยกัน และได้ใช้เวลาว่างร่วมกันทำกิจกรรมที่เหมือนกัน พาลูกไปเที่ยวด้วยกันบ้าง ไปตลาดด้วยกันบ้าง เป็นสังคมเล็กๆ ที่ได้ทำอะไรด้วยกันด้วย

 

ที่มา 幼児教育ママ , sirabee และ cinema

 

Writer Profile : Teeraporn Leelasupha

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



On this Day กับ วันวาเลนไทน์ที่หายไป
ชีวิตครอบครัว
เราตีลูกเพราะอะไร
ชีวิตครอบครัว
เมื่อผม…
ชีวิตครอบครัว
เมื่อผม…
31 มีนาคม 2563
วิธีช่วยให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
กิจกรรมของครอบครัว
ความในใจของคนเป็นพ่อ
ชีวิตครอบครัว
ตัวตนของลูก คือทางของลูก
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save