fbpx

ปรึกษาก่อนแต่งงาน ลดปัญหาหลังสมรส

Writer : nunzmoko
: 14 กุมภาพันธ์ 2561

 

“การปรึกษาก่อนแต่งงาน” ดูเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับในบ้านเรา ซึ่งส่วนใหญ่ของการปรึกษากันในครอบครัว มักเป็นเรื่องการเตรียมการเรื่องงานแต่งมากกว่า แต่การปรึกษาก่อนสมรสเป็นการพูดคุยกับผู้ให้คำปรึกษา เพื่อเตรียมความเข้าใจกับสถานการณ์ที่รออยู่หลังแต่ง ทั้งสองฝ่ายมีรูปแบบการแสดงออกอย่างไร เมื่อเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังแต่งงาน ควรจะทำอย่างไรและต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง มาดูคำแนะนำจาก พญ.พรรณพิมล วิปุลากร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นกันค่ะ

1. การปรึกษาทางการแพทย์

การปรึกษาทางการแพทย์ โรคบางโรคอาจจะทำให้รู้สึกลำบากใจ ในการที่จะใช้ชีวิตสมรสร่วมกัน ถ้าได้ตรวจก่อน ได้ทำการรักษาก่อน เพราะโรคหลายๆ โรครักษาให้หายได้ หรือถ้าเป็นโรคบางโรครักษาไม่ได้ ก็อาจจะมีข้อแนะนำจากแพทย์ในเรื่องการดูแล แก้ไข หรือการป้องกันอย่างไร ยกตัวอย่าง เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หลายท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่หลายท่านอาจจะพลาดไปโดยที่ไม่รู้ตัว หรือโรคทางพันธุกรรม อาจจะไม่ใช่เป็นข้อกำหนดชัดเจนว่า ถ้ามีโรคทางกรรมพันธุ์อย่างนี้แล้ว จะไม่แต่งงานกัน เพียงแต่ว่าหลายๆ โรคควรจะทำการป้องกันหรือรักษาก่อน การตรวจทางการแพทย์นั้นไม่ใช่เพื่อเป็นการจับผิด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และไม่ใช่เป็นข้อกำหนดที่จะไม่แต่งงานกัน แต่จริงๆ แล้ว เป็นการช่วยให้การแต่งงานมีความปลอดภัยมากขึ้นมากกว่าค่ะ

2. การปรึกษาเรื่องสภาพจิตใจ

การให้คำปรึกษาเรื่อสภาพจิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะการแต่งงานเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งสำคัญ คนสองคนจะต้องมาปรับตัวเข้าหากัน ต้องมาอยู่ร่วมกัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดเวลามากกว่าตอนที่เป็นแฟนกัน ตอนที่เป็นแฟนกันบางครั้งด้วยความรักทำให้มองไม่เห็นปัญหาบางอย่าง ที่ไม่ได้เปิดเผยหรือว่าไม่ได้แสดงออกมา พอแต่งงานกันทำให้มีปัญหาในภายหลัง เพราะฉะนั้นการให้คำปรึกษาก่อนสมรส ก็มักจะเป็นการศึกษากันอย่างเปิดเผย โดยผู้ให้คำปรึกษา ซึ่งเป็นคนนอกมองเข้าไปในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ชี้แนะให้เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีความคิด มีความรู้สึก มีแนวคิด มีความเห็นอย่างไรต่อกัน และเมื่อต่างฝ่ายต่างได้ศึกษากันอย่างเปิดเผย แล้วมองเห็นกันและกันด้วยความชัดเจนขึ้น ผู้ให้คำปรึกษาก็จะให้คำแนะนำต่อไปในการที่เราจะปรับตัวเข้าหากัน ในข้อที่อาจจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง หรือให้คำแนะนำในเรื่องลดความขัดแย้ง

3. การปรึกษาเรื่องการสื่อสาร

วิธีการลดความขัดแย้งที่สำคัญที่ต้องฝึกก่อนจะแต่งงานกันเป็นเรื่องของ “การสื่อสาร” ผู้ให้คำปรึกษาจะช่วยวิเคราะห์เรื่องการสื่อสารว่า มีแนวโน้มที่จะสื่อสารกันอย่างไรเวลาที่อยู่ด้วยกัน แนวโน้มที่จะสื่อสารกันเมื่อเกิดปัญหาขึ้น การสื่อสารใดที่อาจจะทำให้เกิดปัญหา เราอาจจะได้เห็นตัวเราชัดขึ้นว่า หลายครั้งเราเป็นคนชอบต่อว่าเขา เราเป็นฝ่ายตำหนิเขา เราคอยสั่งเขา เพราะตอนที่เป็นแฟนกันเขาก็อาจจะยอมให้เราตำหนิ ยอมให้เราต่อว่า ชี้นำเขาทุกอย่าง แต่เมื่อแต่งงานกันไปแล้ว มันอาจไม่เหมือนอย่างตอนที่เป็นแฟนกัน เขาอาจจะเริ่มลุกขึ้นมาไม่ฟังคำตำหนิ อาจจะตำหนิเรากลับมาด้วย เราอาจจะรับไม่ได้ และอาจจะเกิดปัญหามากขึ้น เพราะฉะนั้นการฝึกเรื่องการสื่อสารเสียตั้งแต่ก่อนแต่งงาน จะช่วยให้ชีวิตหลังแต่งงานมีความสุขมากขึ้น เรื่องของการสื่อสารที่ดีนี้ ความจริงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ด้วยความที่พูดอยู่ทุกวัน อาจจะไม่ค่อยได้วิเคราะห์ตัวเองว่ามีปัญหาในเรื่องการสื่อสารอย่างไรบ้าง ซึ่งปัญหาของการสื่อสารมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ

1. ความตรงของการสื่อสาร

– หลายคนไม่ค่อยกล้าพูดตรงๆ ไม่พูดกัน โดยเฉพาะตอนที่เป็นแฟนก็มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจหลายเรื่อง แต่ไม่กล้าจะพูดกันตรงๆ เก็บคำพูดไว้เพื่อรักษาน้ำใจ เพราะหวังว่าแต่งงานไปแล้วคงจะดีขึ้น แต่งงานไปแล้วจะเข้าใจกันมากขึ้น เป็นข้อที่ควรระวังอย่างมาก ควรปรับความไม่เข้าใจในความเห็นที่ไม่เข้าใจกันก่อนที่จะแต่งงาน เพราะจริงๆ พอแต่งงานกันไปแล้ว การแต่งงานอาจช่วยแก้ปัญหาได้แค่เรื่องบางเรื่องเท่านั้น บางปัญหาอาจรุนแรงขึ้นเมื่อแต่งงานกัน เพราะฉะนั้นถ้าอยากพูด อยากบอกอะไรก็ให้พูดกันตรงๆ กับเจ้าตัวเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ไม่มีปัญหาในภายหลัง

– ในขณะเดียวกันต้องฝึกเป็นผู้รับฟังที่ดีด้วย เวลาที่เขาพูดกับเราตรงๆ ก็ควรฟังเหตุผลและยอมรับความรู้สึกตรงนี้บ้าง เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้ชอบเราทั้งหมด ซึ่งเราก็อาจไม่ได้ชอบเขาทั้งหมดเช่นกัน อยู่ที่ว่าจะรับกันได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ

2. เนื้อหาในการสื่อสาร 

หลายครั้งสื่อเนื้อหาที่ไม่ตรงกัน ไม่พูดว่าต้องการอะไร หรือไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกหลายๆ อย่างได้ การเก็บความรู้สึกไว้ จะเป็นการเก็บกดตัวเองไปตลอดชีวิตแต่งงาน จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกันเลย ความเห็นหรือทัศนคติที่ไม่ตรงกันไม่ได้เกิดมาหลังแต่งงาน แต่เป็นเรื่องของการสื่อสารเนื้อหาที่ไม่ตรงไปตรงมา ดังนั้น ผู้ให้คำปรึกษาจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถที่จะสื่อความรู้สึกความคิดเห็นที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา อีกฝ่ายหนึ่งก็ฝึกที่จะรับความรู้สึกความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ทั้งทางบวกและทางลบของอีกฝ่าย การฝึกการตอบสนองกันในการสื่อสารที่เหมาะสมตรงไปตรงมา จะทำให้มีความพร้อมมากขึ้นในการที่จะเข้าสู่ชีวิตสมรส

การปรึกษาก่อนสมรสเป็นการพูดคุยกับผู้ให้คำปรึกษา เพื่อเตรียมความเข้าใจกับสถานการณ์ที่รออยู่หลังแต่ง เป็นการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเตรียมรับมือไว้ก่อน แม้ว่าจะมาจากครอบครัวและมีวิถีชีวิตที่ต่างกัน ก็จะช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาชีวิตหลังแต่งงานได้ ถ้ามีการเตรียมความพร้อม การรับคำปรึกษาจึงเป็นแนวทางเลือกที่จะช่วยลดปัญหาการใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานได้ค่ะ

ที่มา – พญ.พรรณพิมล วิปุลากร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



สิ่งที่แม่อยากจะบอกลูก
ชีวิตครอบครัว
12 ข้อดีจากการให้นมแม่
เตรียมตัวเป็นแม่
ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save