fbpx

ทำอย่างไรดี เมื่อลูกนอนหลับยากในตอนกลางวัน

Writer : Jicko
: 11 เมษายน 2562

ปัญหาลูกไม่ยอมนอนตอนกลางวัน เชื่อว่าหลายครอบครัวก็ประสบปัญหานี้อยู่ใช่ไหมละคะ หรือว่าบางบ้านอาจจะเห็นว่าลูกของเรานอนไปไม่นาน จู่ๆ ก็ตื่น ต้องคอยไกวเปลตลอดเวลา จนบ้างครั้งคุณแม่ๆ อย่างเราก็ไม่ได้นอนเลยทีเดียว และการที่เด็กๆ ไม่ได้นอนจะมีผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง แล้วคุณแม่ๆ ต้องทำอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

สาเหตุที่ลูกไม่ยอมนอน

  • กินมากเกินไปจนอึดอัด

สังเกตได้จากเด็กๆ มักจะร้อง บิดตัวไปมา มีเสียงครืดคราดในลำคอ เหมือนเสียงหมูกรน จนบางครั้งอาจจะมีอาเจียนหรืแหวะนมออกทางปากหรือจมูกได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กๆ นอนหลับไม่สนิทหรืองอแงไม่ยอมนอนนั้นเองค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องให้เด็กๆ กินให้พอดีนะคะ

  • เป็นที่นิสัยพื้นฐานของเด็กเองที่นอนหลับยาก

จะพบบ่อยที่สุดในเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบแรก – 5 ปี และสามารถติดนิสัยไปจนโตได้ สำหรับเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่จะต้องมีสิ่งที่ตนเองชอบทำให้ก่อนถึงจะหลับได้ เช่น ต้องให้พ่อแม่อุ้มแล้วเขย่าตัวจนหลับ หรือต้องดูดนมก่อนจึงจะหลับได้ แล้วเมื่อเขาตื่นก็ต้องทำเช่นเดิมจนกว่าจะหลับไปอีก จนติดนิสัยไปจนโตได้ค่ะ

  • ความเจ็บป่วย

ในบางครั้งลูกเกิดไม่สบายขึ้นมา เป็นไข้ หายใจไม่สะดวก หรือไอขณะที่กำลังจะนอน ทำให้เด็กๆ เกิดความยากลำบากในการนอน และต้องตื่นอยู่บ่อยๆ นั้นเองค่ะ

  • บรรยากาศในการนอน

สถานที่ที่เด็กนอนก็มีผลต่อการนอนหลับนะคะคุณแม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากบ้านอยู่ริมถนน ก็จะมีผลเสียต่อการนอนหลับมากมาย เช่น เสียง แสง หรืออย่างอื่นที่ไม่พึงประสงค์ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกไม่ยอมนอนนั้นเองค่ะ

  • หวงเล่นมากเกินไป

เด็กบางคนถึงแม้จะง่วงขนาดไหน ก็ยังไม่อยากนอนเพราะว่าเขาติดเล่น อยากเล่นอันโน้นอันนี้อยู่ไม่อยากนอน จนส่งผลให้ตอนกลางคืนเด็กเหนื่อยเกินไป จนกลายเป็นนอนยากขึ้นและคุณภาพการนอนที่ไม่ดีนั้น ทำให้เด็กๆ ฝันร้ายได้นะคะ คุณพ่อคุณแม่ควรจะกำหนดเวลา หากิจกรรมก่อนนอนให้เขาเช่นการเล่านิทาน เป็นต้น

  • จินตนาการของเด็กๆ

ยิ่งเป็นเด็กบอกได้เลยว่า จินตนาการล้ำเหลือ เด็กๆ เร่ิมกลัวสิ่งต่างๆ เช่น กลัวผี กลัวการอยู่ตัวคนเดียว กลัวเสียงที่ได้ยินจากที่อื่น จนทำให้เขาไม่กล้าที่จะนอนหลับถีงแม้จะง่วงมากแค่ไหนก็ตาม

ข้อสังเกตเมื่อลูกรู้สึกง่วง

คุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกของคุณนั้นคงต้องนอนตอนกลางวันอยู่หรือเปล่า แล้วมีพฤติกรรมให้คุณพ่อคุณแม่ได้สังเกตยังไงบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

1.ขั้นหงุดหงิด

ขั้นนี้ถือว่าเป็นขั้นเริ่มต้นของความง่วงของเด็กๆ เขามักจะยังห่วงเล่นอยู่คุณแม่ๆ ลองสังเกตดูนะคะ

  • บ่นไม่ยอมนอน แต่พอให้นอนก็หลับเป็นชั่วโมงๆ
  • เริ่มมีสมาธิกับกิจกรรมต่างๆ น้อยลง
  • ตื่นนอนตอนเช้าแบบหงุดหงิดและงัวเงียตลอดวัน
  • ช่วงหัวค่ำจะงอแงเป็นพิเศษ

2.ขั้นงัวเงีย

ขั้นนี้ถือได้ว่าร่างกายของลูกต้องการพักผ่อนแล้วนะคะ แต่ว่าเขายังห่วงเล่นอยู่นั้นเอง

  • หาว ขยี้ตา เบลอ
  • โกรธ อาละวาด ร้องไห้มากผิดปกติ
  • เดินหกล้มบ่อย ทรงตัวยาก

3.ขั้นโงกหงุบ

ขั้นนี้ถือว่าหากลูกเริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้คุณพ่อคุณแม่ควรต้องพาเขาไปงีบด่วนเลยค่ะ

  • ลูกบ่นง่วงนอน
  • นอนหลับโดยไม่อิดออด

วิธีทำให้ลูกนอนง่ายขึ้น

  • นอนให้เป็นเวลา : อย่างตอนกลางวันอากาศร้อนๆ ให้คุณพ่อคุณแม่อาบน้ำให้ลูกสบายตัวก่อน ใส่เสื้อผ้าที่สบาย และอ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนก็ช่วยได้นะคะ
  • เลิกทำสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ลูกติด : เช่น ไม่อุ้ม ไม่เขย่า หรือให้กินนม ซึ่งอาจจะยากอยู่บ้างสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ยังไงก็ต้องใจแข็งนะคะ ให้เด็กๆ ได้มีการเรียนรู้และต้องปรับนิสัย แล้วเขาจะค่อยๆ ปรับตัวได้ดีขึ้น
  • ค่อยๆ ถอยห่างจากลูกบ้าง : โดยพยายามถอยห่าง ให้ลูกได้มีโอกาสเป็นตัวของตัวเองบ้าง ไม่ติดพ่อกับแม่จนมากเกินไป เช่น ขณะที่อยู่ในห้องเดียวกันกับลูก คุณแม่อาจจะนั่งคนละที่กับลูก แต่ยังสามารถเห็นหรือได้ยินเสียงเขาอยู่ ให้เขาได้หัดอยู่คนเดียวบ้าง
  • จัดบรรยากาศห้องนอน : ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เด็กๆ นอนได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสง เสียง อุณหภูมิในห้องที่เด็กอยู่ และเมื่อเขาหลับไปแล้วไม่ควรย้ายที่นอนไปไหนมาไหน โดยที่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัยได้หากเมื่อรู้ว่าตื่นมาแล้วไม่ใช่ที่เดิมค่ะ
  • ให้รางวัลหรือคำชื่นชม เมื่อเขาทำสำเร็จ : ซึ่งรางวัลที่คุณพ่อคุณแม่จะให้ก็ไม่ต้องใหญ่โตอะไรมากมายนะคะ ควรให้รางวัลตามสมควรแก่อายุและความเหมาะสม
  • พ่อแม่ต้องเข้าใจเรื่องการนอนของเด็ก : ยกตัวอย่างเช่น การให้เด็กเข้านอนและตื่นเป็นเวลารวมทั้งในวันหยุดต่างๆ การจัดสภาพแวดล้อมในห้องนอน เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : Amarinbabyandkids, พญ.สุริรา เอื้อไพโรจน์กิจ, Haamor, Mamaexpert

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



7 สิ่งที่เด็กวัย 2 ขวบทำเก่ง
ช่วงวัยของเด็ก
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save