fbpx

7 วิธี ฝึกลูกให้รู้จักความอดทน เข้าใจคำว่ารอคอย

Writer : blahblahboong
: 21 มีนาคม 2562

“ความอดทน” หนึ่งในคุณสมบัติที่เด็กๆ จะต้องใช้สำหรับการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม อดทนในทีนี้ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของจิตใจ ที่เด็กสามารถรอคอยกับบางสิ่งที่อาจจะมาช้ากว่าที่ควร เป็นสิ่งที่จะต้องฝึกกันตั้งแต่ยังเล็ก ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งส่งผลดีกับตัวเด็ก

เรามาดู 7 วิธี ฝึกลูกให้รู้จักความอดทน เข้าใจคำว่ารอคอย กันค่ะว่ามีอะไรบ้างที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับลูกของแต่บ้านได้ ลองนำไปทำตามดูนะคะ

เป็นตัวอย่างที่ดี

พ่อ แม่ เป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดลูกที่สุด เด็กๆ มักจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากพ่อแม่ เรื่องของความอดทนก็เช่นกัน การที่เราแสดงถึงความอดทน อย่างการรอคอย การเข้าคิว ให้เป็นเหมือนเรื่องธรรมดาที่เด็กๆ เห็นจนเคยชิน เด็กๆ ก็จะทำตามเราอย่างเป็นธรรมชาติ พ่อแม่จงจำไว้ “หากอยากลูกเป็นแบบไหน เราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น”

เล่าเรื่องให้ฟัง สอนด้วยนิทาน

การเล่านิทาน เป็นอีกการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กเข้าใจและเห็นภาพได้มากขึ้น คุณแม่ลองหานิทานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความอดทนมาอ่านให้เด็กๆ ฟัง จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ในเรื่องของความอดทนได้มากขึ้น

บอกเวลาสิ้นสุดการรอคอยที่ชัดเจน

เด็กจะหงุดหงิดมาก ถ้าไม่รู้ว่าการรอคอยแต่ละครั้งนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ หลีกเลี่ยงคำว่า “แป๊ปนึง” “เดี๋ยวก่อน” ลงแล้วหันมาใช้คำบอกเวลาง่ายๆ ที่เด็กเข้าใจกัน อย่างเช่น “หลังทานข้าวเสร็จนะ” “หลังนอนกลางวันนะ” เด็กก้จะเข้าใจมากขึ้นว่าจะต้องรอถึงตอนไหน

เพิ่มความสนุกเข้ามาเบี่ยงเบนความสนใจ

เมื่อต้องรออะไรนานๆ สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่อย่าดุ หรือใช้คำรุนแรงตำหนิเด็กๆ ให้ใช้วิธีชวนลูกทำกิจกรรมอย่างอื่นเช่น วาดภาพระบายสี หรือลองถามว่าเค้าอยากจะทำอะไร เพื่อช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย

ทำกิจกรรมทดสอบความอดทน

ความอดทนเป็นเรื่องที่ต้องใช้การฝึกฝน คุณพ่อคุณแม่ลองหากิจกรรมที่ต้องใช้เวลาและสมาธิในการทำมาให้ลูกทำบ้างอย่าง การต่อเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ ต่อบล็อก นอกจากเป็นการฝึกฝนเรื่องความอดทนแล้ว ยังช่วยเรื่องจินตนาการและการมองภาพ 3 มิติอีกด้วย

มอบรางวัล สะสมแต้มความอดทน

ลองหากิจกรรมเล็กทำกันภายในบ้าน อย่างสะสมดาวเด็กดี สะสมแต้มความอดทน พอทำได้ครบก็มอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นกำลังใจให้เด็กๆ ดู แต่อย่าลืมว่าทุกที่มาของดาว ทุกที่มาของรางวัลต้องมีเหตุผลที่สมควรนะคะ

แสดงความชื่นชมเสมอ

เด็กทุกคนชอบที่โดนชมอยู่แล้ว เพื่อตอบแทนความพยายามในการอดทนรอ เป็นเด็กดี ไม่อาละวาด “คำชม” ก็เป็นสิ่งที่เด็กๆ ควรได้รับ เพื่อเป็นกำลังใจในการอดทนครั้งถัดๆไปค่ะ

อ้างอิง

Writer Profile : blahblahboong

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



10 มารยาทพื้นฐานที่ลูกควรรู้
กิจกรรมของครอบครัว
5 เทคนิค ต่อรองกับลูกให้ได้ผล
ชีวิตครอบครัว
10 วิธี ฝึกลูกให้เข้มแข็ง
ไลฟ์สไตล์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save