fbpx

การลงโทษแบบ Time in และ Time out ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนจึงเหมาะกับลูก

Writer : Jicko
: 19 มีนาคม 2562

ในบางครั้งเด็กๆ สุดน่ารักของคุณพ่อคุณแม่ก็กลายเป็นปีศาจตัวน้อยที่ไม่ยอมฟังใคร ดื้อแบบสุดๆ งอแงแบบไม่เกรงใจใคร จนคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราๆ ต้องหาวิธีมาปราบปีศาจตัวน้อยให้ออกจากร่างของลูกรักซะหน่อย ซึ่งวิธีการลงโทษก็มีอยู่มากมาย

ซึ่งวันนี้ทาง Parents One ขอนำเสนอเรื่องการลงโทษแบบ “Time in” และ “Time out” มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ศึกษากัน บางคนก็พอจะทราบกันมาบ้างถึงวิธีการลงโทษแบบนี้ ซึ่งจะมีข้อดีข้อเสีย หรือแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน แล้วแบบไหนถึงจะเหมาะกับการลงโทษของลูกน้อยสุดแสบของเรา ตามมาดูกันเลยค่ะ

Time out และ Time in คืออะไร

Time out

คุณหมอได้อธิบายถึง Time out ว่า เป็นการแยกเด็กออกมาจากการได้รับแรงเสริมทางบวกหรือแยกออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้เด็กเกิดปัญหาพฤติกรรม ซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กใช้เวลานอกในการสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม และเมื่อเด็กๆ สงบสติลงก็สามารถกลับไปยังส่ิงที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้ได้นั้นเองค่ะ

Time in 

Time in คือ เมื่อใดที่ลูกของเราเริ่มโวยวาย หงุดหงิด หรือผิดหวังในเรื่องใดๆ ก็ตาม แทนที่เราจะไล่เขาไปนั่งสงบสติหรือสำนึกผิดอย่างเดียวดาย โดยที่เราไม่ให้ความสนใจใดๆ แก่เขาเลย แล้วเปลี่ยนเป็นการที่เราคุณพ่อคุณแม่ไปนั่งข้างๆ เขา เพื่อที่จะช่วยสงบสติอารมณ์ หามุมหรือสถานที่สงบๆและเข้าไปนั่งด้วยนั้นเองค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะช่วยเขาปลอบให้อารมณ์เย็นลง หรือเพียงแค่สงบสติเงียบๆ อยู่ข้างๆ เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยังอยู่ข้างๆ เสมอและพร้อมจะช่วยเขาในเวลาที่เจอปัญหานั้นเองค่ะ

สถานการณ์ไหนควรใช้ Time out หรือ Time in

เมื่อเด็กๆ ทำความผิด อันดับแรกที่คุณพ่อคุณแม่ทำโทษควรจะเป็น Time in โดยการแสดงถึงความรัก ความห่วงใย และคอยปลูกฝังให้เขาปฏิบัติตัวเป็นคนดีอย่างสม่ำเสมอนั้นเองค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเด็กๆ ร่าเริง เขามักจะเปิดรับความรู้ใหม่ๆ และซึมซับความอบอุ่นจากคนรอบข้างได้ดี เพราะฉะนั้นการทำโทษแบบ Time in  เรียกได้ว่าเป็นการทำโทษแบบอบอุ่น ควรจะเป็นการปลูกฝังเป็นอันดับแรก

แต่หากเด็กไม่ยอมทำตามหรือยังทำตัวไม่น่ารักแบบเดิม คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องใช้วิธีทำโทษแบบ Time out มาจัดการกับลูกน้อยในลำดับต่อไปนั้นเองค่ะ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเจอนะคะ

ข้อจำกัดในการใช้ Time out และ Time in

Time out

  • วิธีการนี้เหมาะสมกับเด็กช่วงอายุ 2-3 ขวบ เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มรู้จักการรักษากฎต่างๆ
  • หากเด็กอายุ 2 ขวบ ควรเริ่มจากระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 30 วินาที หรือ 1 นาที
  • ต้องบอกเหตุผลให้เด็กๆ ได้รู้ในการทำโทษแบบ Time out

Time in

  • เมื่อลูกอาละวาด เราต้องเข้าประกบลูกทันที กอดเขาและอยู่ข้างๆ ให้ใจเย็นแม้จะเป็นสิ่งที่ดูไม่มีเหตุผลในสายตาเรา
  • Time in ไม่ใช่การให้รางวัลเด็ก
  • อารมณ์ของคุณพ่อคุณแม่ขณะที่จะทำ Time in ต้องสงบเพียงพอ

 

วิธีทำ Time out และ Time inให้ได้ผล

Time out

  • ควรใช้เวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น เพื่อให้ดูจริงจังและจะทำให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้นว่าการกระทำของตัวเองยังไม่ถูกต้อง
  • เลือกบริเวณในการทำ Time out โดยแยกจากส่วนที่ทำกิจกรรม อาจจะเป็นมุมห้องหรือพื้นที่ที่เรายังสามารถเห็นว่าลูกกำลังทำอะไร
  • คุณพ่อคุณแม่ต้องควบคุมอารมณ์ของตนเอง ไม่ขึ้นเสียง ให้เขาใจเย็น เป็นการสงบสติอารมณ์ของลูกนั้นเองค่ะ
  • หลังจาก Time out แล้วควรโอบกอด เพื่อให้เขามั่นใจว่าคุณรักเขา แต่การกระทำของลูกยังไม่เหมาะสม ไม่ควรทำก็เท่านั้นเอง

Time in 

  • เข้าไปประกบลูกหรือกอดลูกไว้จากด้านหลัง เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือทางอารมณ์
  • สัมผัสตัว กอด ประกบตัวไว แล้วพาไปมุมที่สงบและรู้สึกสบายด้วยกัน
  • คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยด้วยการฟัง แสดงความเข้าใจ และสะท้อนสิ่งที่ลูกกำลังรู้สึก
  • ปลอบให้ลูกสงบ และชวนคิดหาทางออกเมื่อเขาสงบลงแล้ว

 

ข้อดีของการทำ Time out และ Time in

  • ไม่ปลูกฝังนิสัยรุนแรงให้กับเด็ก
  • ไม่ทิ้งบาดแผลในใจ
  • ฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง
  • เด็กๆ จะได้ระบายความรู้สึก ในขณะที่สอนได้ด้วย
  • เด็กๆ จะไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง เพราะพ่อแม่อยู่ด้วยตลอดเวลา

ขอบคุณข้อมูลจาก : tipsddanswerbyyok

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



16 พฤศจิกายน 2563
แม่จ๋า! น้ำร้อนลวกหนู ทำอย่างไรดี
ข้อมูลทางแพทย์
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save