fbpx

รวม 7 เทรนด์จุดเปลี่ยนแห่งวงการการศึกษาไทยที่ผ่านมาทั้งหมดในปี 2561 ในเด็กปฐมวัย - เด็กมหาวิทยาลัย

Writer : Mneeose
: 19 ธันวาคม 2561

ข่าวในวงการการศึกษาของประเทศไทยมักถูกเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทุกยุคสมัย จนบางครั้งผู้ปกครองทั้งหลายตามข่าวไม่ทัน โดยเฉพาะการศึกษาในปี 2561 นี้ บางคนไม่รู้ข่าวเลย จึงทำให้พลาดโอกาสดีๆ ไปเสมอ เราจึงขอรวบรวมเหตุการณ์ 7 เทรนด์ จุดเปลี่ยนแห่งวงการการศึกษาไทยที่ผ่านมาทั้งหมดในปี 2561 ในเด็กปฐมวัยจนถึงเด็กมหาวิทยาลัย มาอัพเดตให้ฟังกันค่ะ ไปอ่านกันเลย

เทรนด์ที่ 1 : “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” นโยบายรัฐฯ ที่ทำให้เด็กมีเวลาเรียนรู้เพิ่มขึ้นจริงหรือ?

“ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” เป็นนโยบายที่ให้โรงเรียนปรับลดชั่วโมงในชั้นเรียนลงโดยให้เลิกเรียนในเวลา 14.00 น. เพื่อให้เด็กนักเรียนผ่อนคลายไม่เคร่งเครียดกับการเรียนมากเกินไป หลักการลดเวลาเรียนเป็นความคิดที่ถูกต้อง เพราะเด็กไทยใช้เวลาเรียนในห้องเรียนตามหลักสูตรมากถึงปีละ 1,000-1,200 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาในประเทศที่การศึกษามีคุณภาพทั้งหลายจะใช้เพียง 500-600 ชั่วโมง เวลามากมายใช้ไปกับการเรียนที่เน้นการท่องจํา ไม่เน้นการใช้ความคิดทั้งในการสร้างสรรค์ วิเคราะห์ และแก้ปัญหาต่างๆ เด็กไทยจึงคิดไม่เป็น นับเป็นข้อด้อยเมื่อเทียบกับเยาวชนในประเทศอื่น

แต่ข้อบกพร่องของรัฐบาลยุคนี้ คือ ได้มีการสั่งลดฮวบของเวลาในชั้นเรียนฉับพลันที่มีคําสั่ง ทำให้ทุกฝ่ายของกระทรวงการศึกษาเกิดความเครียดทั้งระบบ เนื่องจากหลักสูตรการเรียนยังเป็นหลักสูตรเดิม มีเนื้อหาสาระซึ่งสัมพันธ์กับเวลาที่ต้องใช้ถึงเกินพันชั่วโมง ครูจํานวนมากถึงกับมีอาการที่ไปไม่เป็น สถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นจึงมีต่างๆ นานา ตั้งแต่ครูประเภทที่หยุดสอนโดยจะจบหรือไม่จบตาม เนื้อหาก็ไม่สนใจเพราะไม่รู้จะทําอย่างไร ไปอีกข้างหนึ่งก็จะพบครูที่จําเป็นต้องเลี่ยงไปนัดเด็กสอนเพิ่มเติม นอกเวลาเพราะทําใจไม่ได้ที่สอนเด็กยังไม่จบ ส่วนเวลานอกห้องเรียนหลัง 14.00 น. นั้น เมื่อไม่ได้กําหนดว่า เป็นส่วนของหลักสูตรก็จึงเกิดความหลากหลายของกิจกรรมซึ่งส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องหรือเสริมเพิ่มเติมจากในห้องเรียนเลย

เราจึงต้องรอดูและติดตามกันต่อไปว่านโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” นั้นจะเหมาะสมและสามารถตอบสนองยกระดับการศึกษาของเด็กไทยได้จริงหรือไม่กันต่อไปค่ะ

 

เทรนด์ที่ 2 : เด็กมัธยมเร่งปรับตัวตาม TCAS ให้ทัน!! เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในฝัน

ระบบ TCAS เป็นระบบเข้ามหาวิทยาลัยแบบใหม่ ที่มักจะทำให้เด็กมัธยมปลายที่ต้องเตรียมตัวสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยนั้นปรับตัวไม่ทัน เพราะรัฐบาลชอบเปลี่ยนระบบการศึกษาไปเรื่อยๆนั่นเอง

ทุกๆ คนคงจะสงสัยว่ามันต่างกับการคัดเลือกที่ผ่านๆมายังไง ระบบTCAS มีการเพิ่ม Clearing-House เป็นระบบที่ใช้ในการยืนยันสิทธิ์ ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในแต่ละรอบจะต้องกดยืนยันสิทธิ์เคลียริ่งเฮาส์ในการที่จะเข้าเรียนได้แค่คนละ 1 ที่ เท่านั้น ระบบนี้สร้างมาเพื่อไม่ให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกหลายๆที่พร้อมกัน “กันที่” ของคนอื่นนั่นเอง และยังสะดวกต่อทางมหาวิทยาลัยในการนับจำนวนคนอีกด้วย

แต่เนื่องจากระยะเวลาในการกดยืนยันสิทธิ์มักจะไปทับซ้อนกัน จึงไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่สอบไม่ติดในรอบต่างๆ ที่ผ่านมา เพราะต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าจะติดรอบนี้ไหม จึงทำให้เกิดปัญหาในการแย่งที่กันมากมาย

TCAS หรือ Thai University Center Admission System เป็นระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้ในปีการศึกษา 2561 เป็นระบบที่ออกแบบโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)

TCAS มีขั้นตอนอย่างไร
ระบบ TCAS ที่ทาง ทปอ. ได้ประกาศออกมา มี 5 ขั้นตอน ดังนี้

  • 1. คัดเลือกโดยการส่งแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
  • 2. สมัครโควตาแบบมีสอบข้อเขียน สำหรับนักเรียนในพื้นที่
  • 3. การรับตรงร่วมกัน
  • 4. การรับ Admission
  • 5. การรับตรงแบบอิสระ

 

เทรนด์ที่ 3 :  สกศ.ผุดไอเดียกำหนด 7 ยุทธศาสตร์หลักพัฒนาเด็กปฐมวัย

ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า สกศ.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ.2560-2564 ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แผนยุทธศาสตร์การศึกษาของชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) เพื่อสร้างความพร้อมในการเรียนรู้และเชื่อมโยงการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยมี 7 ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน ดังนี้

  • 1.การจัดและการให้เด็กเข้าถึงบริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย
  • 2.การพัฒนาการเป็นพ่อเป็นแม่ การอบรมเลี้ยงดูและบทบาทของครอบครัว
  • 3.การพัฒนาคุณภาพการให้บริการที่พัฒนาเด็กปฐมวัย
  • 4.การจัดระบบข้อมูลและตัวชี้วัด เน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาเด็กปฐมวัย
  • 5.การปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย และการดำเนินการตามกฎหมาย
  • 6.การศึกษา การจัดการความรู้ และเผยแพร่องค์ความรู้
  • 7.การเสริมสร้างประสิทธิภาพการ บริหารจัดการ การติดตามงานและประเมินผล.

 

เทรนด์ที่ 4 : เปิดสวนดุสิตโพล ยกเลิกการสอบ ในเด็ก ป.1 ลดแรงตึงเครียดและกดดัน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สวนดุสิตโพล ได้ออกมาเปิดเผยผลวิจัยเรื่อง “ผลจากระบบการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อตัวเด็ก ครอบครัว และโรงเรียน รวมทั้งหาแนวทางในการคัดเลือกเด็กเพื่อเข้าศึกษาต่อระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 “โดย ผศ.ดร.ชนะศึก นิชานนท์ ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ประกอบด้วยนักวิชการ  ผู้บริหารโรงเรียน  ครู ผู้ปกครองและเด็ก

ผลวิจัยพบว่า

  • นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญไม่เห็นด้วย 100 % กับการให้เด็กสอบเข้า ป.1
  • ผู้บริหารโรงเรียน ไม่เห็นด้วย 75 % เห็นด้วย 25%
  • ครูอนุบาลไม่เห็นด้วย 58 % เห็นด้วย 42 %
  • ผู้ปกครองไม่เห็นด้วย 48.23 % เห็นด้วย 51.11%

สาเหตุเนื่องมาจาก การสอบจะทำให้พัฒนาการในด้านต่างๆ ที่เด็กควรจะมีในวัยนั้นๆ ลดหายลงไป กลับต้องมานั่งเครียดการหนังสือเตรียมสอบเข้าแทน ส่งผลกระทบในทุกๆด้าน ทั้งตัวเด็กเอง ผู้ปกครอง(เวลาที่จะได้ใช้ด้วยกันลดลง) และสิ่งแวดล้อม (เด็กไม่ได้ออกๆไปวิ่งเล่น)

 

เทรนด์ที่ 5 : ยกเลิกการสอบเข้าของเด็กอนุบาล – ประถม รร.ไหนฝ่าฝืนปรับ 5 แสนแน่นอน

พระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการออกกฎหมายห้ามโรงเรียนใช้การสอบเข้า เพื่อรับเด็กอนุบาล และเด็กประถม หากมีโรงเรียนไหนฝ่าฝืนจะถูกปรับเป็นเงินจำนวน 500,000 บาทค่ะ ด้าน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ ได้ย้ำว่า “ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา ต้องเริ่มจากการศึกษาระดับปฐมวัยก่อน”

 

เทรนด์ที่ 6 : พ่อแม่ชื่นใจ มีเงินเหลือเก็บอีกปี สพฐ. ประกาศเลิกรับเด็กอนุบาล 1 ตั้งแต่ปี 2562

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่าโรงเรียนอนุบาลของสพฐ. จะยกเลิกการรับเด็กอนุบาล 1 หรือเด็ก 3 ขวบ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เพราะต้องการลดความซ้ำซ้อนของการศึกษา

โดยตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 เป็นต้นไปนั้น การรับนักเรียนสังกัด สพฐ. จะรับเด็กชั้นอนุบาล 2 อายุ 4 ปี และเด็กชั้นอนุบาล 3 อายุ 5 ปี เข้าเรียนเป็นหลักค่ะ

 

เทรนด์ที่ 7 : มติกพฐ.กำหนดแนวทางรับนักเรียนปี 2561 ยึดเกณฑ์ 40 ต่อห้อง แต่ยืดหยุ่นได้

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือเพื่อแก้ไขปัญหาการรับนักเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปีการศึกษา 2561 ที่กำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้อง โดยแบ่งเป็น

  • ระดับก่อนประถมศึกษา 30 คนต่อห้อง
  • ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา 40 คนต่อห้อง

เป็นยังไงบ้างคะสำหรับ 7 เทรนด์ในวงการการศึกษาไทยที่เราสรุปและอัปเดตกันมาให้อ่านในวันนี้ หวังว่าจะช่วยสรุปข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการการศึกษาไทยให้ได้รู้เพิ่มเติมขึ้นกันนะคะ เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นอย่างไร ก็อยู่ที่การศึกษา สะสมความรู้และประสบการณ์จากโรงเรียนนั่นเองแหละค่ะ

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
Live Action เรื่องล่าสุดจาก Disney ที่หลายๆคนรอคอยไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เคยรับชมการ์ตูนในวัยหวานหรือแม้แต่คุณน้องคุณหนูที่หลงรักโลกใต้ท้องทะเลก็ตาม ใช่แล้วล่ะค่ะ เรากำลังพูดถึง “The Little Mermaid” หรือ “เงือกน้อยผจญภัย” ที่หยิบยกกลับมาทำใหม่ในเวอร์ชันคนแสดงในปีนี้ โดยมีนักร้องสาว “ฮัลลี เบลลีย์” รับบทนางเงือกน้อย “แอเรียล” พร้อมเป็นตัวแทนส่งเสียงบอกกับเด็กหญิงชายทั่วโลกว่า “ใครก็เป็นเจ้าหญิงได้”  หยิบกลับมาทำใหม่ ตีความใหม่ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนแบบนี้ ใครๆ ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร มีจุดเด่นจุดด้อย ข้อดีข้อเสียอย่างไร เหมาะสำหรับเด็กๆ หรือไม่ ลองไปดูกันเลย! เรื่องราวของนางเงือกน้อยแสนซน “แอเรียล” ธิดาคนสุดท้องของราชาไตรตันเจ้าแห่งโลกใต้สมุทรเธอมีความหลงใหลในโลกมนุษย์และใฝ่ฝันว่าอยากจะเดินเหินอย่างผู้คนบนดินแม้พ่อจะพยายามกีดกันเธอเท่าไรก็ตาม วันหนึ่งเธอบังเอิญได้พบกับ “เจ้าชายอีริค” และตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง เธอจึงได้ทำข้อตกลงกับแม่มดทะเล “เออซูลาร์” เพื่อแลกเสียงอันไพเราะกับขาอย่างมนุษย์โดยมีข้อแม้ว่าเธอจะต้องได้รับจุมพิตจากเจ้าชายไม่เช่นนั้นเธอจะกลับมาเป็นเงือกและกลายเป็นทาสของเออซูลาร์ตลอดไปการออกเดินทางทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจเพื่อใช้ชีวิตอย่างที่ฝันจึงได้เริ่มต้นขึ้น เติมเต็มหัวใจที่ยังเปี่ยมไปด้วยความทรงจำของวัยเยาว์ ส่งต่อความกล้าหาญให้หนูน้อยเชื่อมั่นในตัวเอง และสิ่งที่ฝัน จูงมือลูกรักไปดู “The Little Mermaid” ได้แล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์! ชมตัวอย่าง : https://www.youtube.com/watch?v=AS0vop2rgFo การ์ตูนเรื่องนี้เหมาะกับเด็กอายุ 8 ขวบขึ้นไป แม้จะมีเค้าโครงเรื่องหลักๆ มาจากการ์ตูนเงือกน้อยแอเรียลแบบต้นฉบับทั้งหมด แต่พอมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ทวีคูณความจริงจังให้มากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเติมพื้นเพตัวละคร เสริมเนื้อเรื่องเพิ่มประเด็นให้มีความซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม จึงบอกได้ว่าเป็นเวอร์ชันที่ไม่ค่อยเหมาะกับเด็กเล็กๆ เท่าไร ถึงอย่างนั้นเด็กๆก็ยังสามารถสนุกสนานกับกลิ่นอายของเทพนิยายชวนฝันเพลิดเพลินกับภาพบรรยากาศโลกใต้ท้องทะเลที่สวยงามสุดแสนจะแฟนตาซี รับประกันว่ากระตุ้นจินตนาการเรียกความตื่นตาตื่นใจจากเจ้าตัวน้อยแน่นอน เรื่องที่ต้องระวัง มีความรุนแรงและฉากน่ากลัว อย่างที่บอกไปว่า Live Action เวอร์ชันนี้ มีความดาร์ก ความสมจริงเพิ่มเข้ามา เรื่องความรุนแรงต่างๆ ฉากต่อสู้ ฉากปะทะ หรือหน้าตาของเหล่าสัตว์ร้ายใต้ทะเล อาจทำให้เด็กๆ ไม่สบายใจ หรือตื่นกลัวได้ แถมยังมีจังหวะตกใจ (Jump…
25 พฤษภาคม 2566

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save