ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนในบางครั้งคุณพ่อคุณแม่อย่างเราก็ตามไม่ทัน และเป็นกังวลว่าโลกในอนาคตของลูกจะเป็นเช่นไร จะอยู่รอดบนโลกที่ไม่ค่อยใจดีใบนี้ได้ไหม แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เพราะวันนี้ Parents One มีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้เจ้าตัวเล็กฉลาดและแกร่ง พร้อมเอาตัวรอดในอนาคตมาฝากค่ะ
เรียนรู้จากอดีต เพื่ออนาคตที่ดีกว่า
ในปัจจุบันโลกของเรามีสิ่งที่เกิดขึ้นมามากมาย หลายๆ เรื่องเป็นสิ่งร้ายแรงที่เกิดขึ้นในอดีตและยังดำเนินต่อมาในอนาคตให้พ่อแม่อย่างเราได้เรียนรู้และรับมือในทุกวัน ซึ่งเรื่องเหล่านั้นได้แก่
โรคอุบัติใหม่
เมื่อปี 2019 โลกของเรามีโรคที่อุบัติใหม่ แล้วระบาดไปทั่วโลก นั่นคือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งแรกในช่วงเดือนธันวาคมปี 2019 ที่ตลาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน หลังจากนั้นเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้มีการกลายพันธุ์เป็นหลากหลายสายพันธุ์และมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ซึ่งโรคนี้เป็นอันตรายต่อคนทั้งโลก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง อย่างเด็กน้อยที่ยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงมากพอค่ะ
มลพิษทางอากาศ
หลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีฝุ่นละอองพิษ PM 2.5 เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาไหม้เครื่องจักร โดยเฉพาะเครื่องยนต์ของทั้งรถยนต์ใหม่และเก่า อย่างที่รู้กันว่าฝุ่น PM2.5 มีขนาดที่เล็กมากๆ เมื่อหายใจเข้าไปจึงเข้าลึกถึงทางเดินหายใจและปอด บางอนุภาคยังอาจเข้าสู่กระแสเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันโรคน้อยกว่าผู้ใหญ่ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายยังอยู่ในระยะที่กำลังพัฒนา ซึ่งฝุ่น PM2.5 จะเข้าไปขัดขวางการเจริญเติบโตของระบบต่างๆ และอาจทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ด้วยค่ะ
การเสพสื่อและเทคโนโลยี
เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับเรา แต่นั่นก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะหากใช้แบบไม่ถูกต้องก็อาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ โดยก่อนหน้าที่จะเกิดโรคระบาด การใช้สื่อของเด็กก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วงอยู่แล้ว แต่พออยู่ในช่วงโควิด การใช้สื่อในเด็กก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะเด็กไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในบ้าน และพบว่าบางครอบครัวมีการใช้หน้าจอเป็นพี่เลี้ยงให้ลูก จนทำให้เด็กมีพฤติกรรมติดจอและดูสื่อที่ไม่เหมาะสมกับวัย ส่งผลกระทบต่อร่างกาย พัฒนาการ อารมณ์ มีพฤติกรรมเลียนแบบ และได้รับผลกระทบทางจิตใจนั่นเองค่ะ
ทักษะที่ต้องมีเพื่อเอาตัวรอดในอนาคต
ากอดีตที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนล้ำค่าที่เราจะนำมาปรับใช้ในการเลี้ยงลูก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อย่างเราจึงต้องเพิ่มทักษะต่างๆ ให้แก่ลูกดังต่อไปนี้ค่ะ
ความเข้มแข็งทางจิตใจ
ด้วยสภาพสังคมในปัจจุบัน ‘ความเข้มแข็งทางจิตใจ’ เป็นสิ่งที่เจ้าตัวเล็กจำเป็นต้องมีเป็นอย่างมากค่ะ เพราะการที่ลูกจะอยู่ในสังคมนี้ได้ ต้องรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี และต้องไม่โอนอ่อนไปกับเหตุการณ์ที่ไม่ดีให้ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกมีความเข้มแข็งทางจิตใจ คือ ‘ความรักของพ่อแม่’ นั่นเองค่ะ เพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่ช่วยชุบชูจิตใจของลูก ทำให้ลูกรู้สึกว่าเขามีคุณค่ามากพอ และรู้สึกมีพื้นที่ปลอดภัย เมื่อลูกมีพื้นฐานของความมั่นคงทางจิตใจที่ดี เวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคก็จะมั่นคงและไม่ซวนเซได้ง่ายค่ะ
ความแข็งแรงทางร่างกาย
อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้เรื่องของจิตใจ คือ ‘ความแข็งแรงทางร่างกาย’ ค่ะ การที่ลูกมีร่างกายที่แข็งแรงก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะเขาจะไม่ป่วยง่ายในเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดกะทันหัน เช่น สภาพอากาศ หรือ สภาพแวดล้อมค่ะ ดังนั้นคุณแม่จึงควรช่วยส่งเสริมให้ลูกมีร่างกายที่แข็งแรงด้วยการให้ลูกทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ พาลูกออกกำลังกาย ขยับร่างกายสัก 20 นาทีต่อวัน และต้องให้ลูกพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้ครบ 8-10 ชั่วโมงต่อวันนะคะ
ความฉลาดทางสมอง
หนึ่งสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกมีคงหนีไม่พ้นเรื่องของ ‘ความฉลาดทางสมอง’ เพราะความฉลาดจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในอนาคตเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด และฉลาดในการใช้ชีวิต โดยวิธีที่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยให้ลูกฉลาดได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเลี้ยงดูที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกช่วยเหลือตนเอง แนะนำความคิดใหม่ๆ ที่ช่วยกระตุ้นความสงสัยและความอยากรู้ อีกทั้งปรับวิธีการเลี้ยงดู ตามรูปแบบนิสัยและความสนใจของลูกนั่นเองค่ะ
เตรียมลูกให้พร้อมด้วยโภชนาการที่ดี
ปฏิเสธไม่ได้เลยนะคะ ว่าพื้นฐานสำคัญของทักษะที่กล่าวมาข้างต้น คือเรื่องของ ‘โภชนาการที่ดี’ เพราะสารอาหารที่ได้รับจากการกินอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยสร้างร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงให้กับเจ้าตัวเล็ก ซึ่งอาหารมื้อแรกที่ลูกควรได้รับ คือ น้ำนมแม่ นั่นเอง ซึ่งในน้ำนมแม่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ เพราะมีโพรไบโอติก LPR ที่ช่วยปรับสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกัน และมีส่วนช่วยให้ลำไส้แข็งแรง โดยนอกจากในนมแม่แล้ว โพรไบโอติก LPR ยังมีอยู่ในโยเกิร์ต และนมบางชนิดอีกด้วยค่ะ
นอกจากนี้ในนมแม่ยังมี DHA ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการเจริญเติบโต โดยเฉพาะการพัฒนาของระบบประสาทและสมอง รวมไปถึงสารอาหารอื่นๆ ที่หลากหลาย ครบถ้วนต่อความต้องการของเจ้าตัวเล็กในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งหลังจากที่ผ่าน 6 เดือนไปแล้ว ควรให้ลูกกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น ควบคู่กับอาหารตามวัยที่เหมาะสมครบ 5 หมู่ รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอตามที่ร่างกายควรได้รับต่อวันด้วยนะคะ
ซึ่งการที่ลูกได้รับสารอาหารเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่งคงไม่พอค่ะ เจ้าตัวน้อยควรจะต้องได้รับทั้งโพรไบโอติก LPR และ DHA เพราะการทำงานคู่กันของโพรไบโอติก LPR ที่ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง และ DHA ที่เป็นสารอาหารสำคัญต่อพัฒนาการของสมอง จะส่งเสริมให้ลูกมีร่างกายและสมองที่พร้อมสำหรับทุกพัฒนาการ เป็นเด็กที่เก่งและแกร่ง เพื่อเอาตัวรอดในอนาคตข้างหน้าได้เป็นอย่างดีนั่นเองค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง