fbpx

ลูกแฝดก็แตกต่าง ทำอย่างไรให้ลูกรู้สึกเท่าเทียมกัน

Writer : OttChan
: 19 กันยายน 2562

เขาว่ากันว่าฝาแฝดนั้นจะเหมือนกันทุกอย่างแต่ในความจริงกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเพราะอาจมีเพียงหน้าตาหรือลักษณะพิเศษที่ใกล้เคียงกัน

แต่อุปนิสัยแต่ละอย่างอาจตรงกันข้ามมากๆ เลยก็เป็นได้

บางครั้ง คุณพ่อคุณแม่รู้สึกปวดหัวที่จะเอาใจเด็กทั้งสองไปพร้อมๆ กันเพราะรู้สึกว่าทั้งที่เป็นแฝดกันแต่ทำไมจึงไม่เหมือนกันเลย และยังมีอาการอิจฉากันเองแกล้งกันเองอีก ดูแลลำบากเหลือเกิน

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกับเด็กแฝดให้มากขึ้นนะคะว่า มีแนวทางไหนบ้างที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ของทั้งตัวเด็กทั้ง 2 และครอบครัวให้ดีขึ้น

เป็นแฝดกัน นิสัยไม่เหมือนกัน

เรามักชินตาว่าเป็นแฝดกัน ต้องเหมือนกันซึ่งในความจริงเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะต่างคนก็ต่างนิสัย แม้จะเกิดมาในช่วงเวลาใกล้กันหรือตัวติดกันมาแต่ในครรภ์ ก็ยังคงเป็นคนละคน หากเราใช้ข้อผูกมัดการเป็นแฝดไว้ว่าเด็กทั้ง 2 เหมือนกันทุกอย่าง หากเราจำกัดความว่าคนโตนิสัยแบบไหน คนเล็กก็ต้องนิสัยแบบนั้น จะยิ่งส่งผลให้พวกเขารู้สึกถูกมองข้ามความสำคัญจากคนที่เขารัก

ดังนั้นต้องให้ความใส่ใจที่แตกต่างตามบุคลิกและนิสัยของเด็กแต่ละคน เพื่อให้ลูกแฝดของเรารู้สึกว่าได้รับการเอาใจใส่ที่เท่าเทียม

เป็นแฝดกัน การรับรู้ไม่เท่ากัน

หากมีคนหนึ่งเรียนแล้วเกรดดีมากแต่อีกคนเรียนแล้วเกรดกลับไม่ได้เท่าอีกคน อย่าเปรียบเทียบหรือพยายามบีบให้อีกคนได้เท่า เพราะการรับรู้และเรียนรู้ในการเรียน, การใช้ชีวิตของพวกเขา ไม่เท่ากัน คนหนึ่งอาจถนัดศิลปะมากกว่าวิชาการ หรืออาจมีอีกคนหนึ่งชอบกีฬามากกว่าคณิตศาสตร์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบังคับหรือฝืนได้

ดังนั้นหากมีคนใดคนหนึ่งมีพัฒนาการหรือการเรียนรู้ไม่เท่าอีกคน ไม่ควรเปรียบเทียบแต่เปลี่ยนเป็นให้กำลังใจและสนับสนุนด้านที่เขาชอบให้ถึงที่สุดจะเป็นผลดีต่อทั้งตัวเด็กและผู้ปกครองที่สุด

เป็นแฝดกัน ความชอบไม่เหมือนกัน

เขาว่าลูกแฝดมีอะไรมักต้องซื้อเป็นคู่เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาการที่คนนึงได้และอีกคนไม่ได้ และสิ่งที่เรามักทำคือซื้อสีเดียวกัน สไตล์แบบเดียวกันเพราะเข้าใจว่าเป็นแฝดกันก็คงจะชอบอะไรเหมือนกันแน่ๆ ซึ่งความเชื่อนี้ทำให้ตัวเด็กทั้งคู่รู้สึกไม่ได้รับความใส่ใจมากเท่าที่ควร และอาจทำให้รู้สึกว่าคนเป็นพ่อแม่ลำเอียงได้หากเราเลือกซื้อแต่ของที่อีกคนชอบ แต่อีกคนได้แต่ของที่ไม่อยากได้มาคู่กัน

ดังนั้น ต้องหมั่นสังเกตและจดจำความชอบของแฝดแต่ละคนไว้ว่า ชอบหรือไม่ชอบอะไรเพื่อให้สิ่งของแต่ละอย่างของทั้งสองตรงกับสิ่งที่พวกเขามีความสุขในการใช้หรือสวมใส่ และหากมีของชิ้นไหนที่มีความชอบตรงกันและสามารถแบ่งปันกันได้ต้องสอนให้รู้จักการใช้ร่วมกัน รู้สึกที่จะมีน้ำใจ

เป็นแฝดกัน ไม่ได้ตัวติดกัน

” ทำไมสองคนเป็นแฝดกันไม่ไปด้วยกันล่ะ ” ” เป็นแฝดกันต้องรู้สิว่าอีกคนไปไหน ” ” อ๊าวไม่รู้เหรอว่าน้องชอบอะไร เป็นแฝดกันนี่ ” อาจฟังดูเป็นคำถามทั่วไป แต่หากได้ยินบ่อยเกินไปก็อาจก่อให้เกิดความรำคาญได้สำหรับเด็กแฝด เพราะพวกเขาแม้จะเกิดมาพร้อมๆ กัน แต่ไม่ได้แปลว่าต้องอยู่ด้วยกันหรือตัวติดกันตลอดเวลา แบบที่ใครๆเข้าใจ การฝากความหวังไว้ว่าเป็นแฝดอีกคน ต้องรู้ความเคลื่อนไหวทุกคนอย่างของพี่หรือน้องแฝดของตนนั้น นับว่าเป็นการสร้างเบื่อหน่ายอยู่ไม่น้อย

ดังนั้น การถามไถ่หรือพูดคุย ควรเลือกประโยคเชิงคำถามทั่วไปมากกว่าจะเจาะจงว่าเพราะเป็นแฝดกันจึงต้องรู้ต้องทำ อาทิ ” พี่ไปไหน เราเห็นบ้างไหม ” ” ชวนพี่/น้อง กินด้วยไหมเผื่อเขาอยากกิน ” ” ของชิ้นนี้ลูกชอบมั้ย แม่ไม่รู้พี่/น้องชอบรึเปล่า ลองไปถามเขาทีซิ ”

เป็นแฝดกัน ก็ต้องการความรักจากพ่อแม่พอๆ กัน

ใครๆ ก็ต่างคิดว่าเด็กแฝดมักจะมีกันและกัน โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือได้รับการดูแลจากใครเพราะพวกเขาเกิดมาด้วยสายใยแห่งความผูกพันของการเป็นแฝด แต่ในความจริงเด็กที่เกิดมาเป็นแฝดก็คือเด็กทั่วๆ ไป ที่ต้องการความเอาใส่ใจและเอาอกเอาใจ ไม่ได้ต่างอะไรออกไปเลยแม้แต่น้อยกับเด็กคนอื่น เช่นนั้นแล้ว งานของคุณพ่อคุณแม่จึงต้องใส่ใจเป็นคูณสองเลยทีเดียวกับการดูแลให้สุขภาพกายและจิตของเหล่าเด็กแฝด พร้อมต่อการเจริญเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งปฏิบัติตามได้ดังนี้

  • หมั่นถามความต้องการของเด็กทั้ง 2 คน มากกว่าการเหมารวมว่าคนนึงชอบแบบนี้อีกคนจะชอบด้วย
  • รับฟังปัญหาแบบตัวต่อตัวอย่างใกล้ชิดและใช้ความเข้าอกเข้าใจ
  • เมื่อมีการทำโทษหรือดุด่า ควรแยกให้มีความเป็นส่วนตัว ไม่เปรียบเทียบกับแฝดอีกคนหรือเรียกมาว่าพร้อมกันเพื่อบอกให้อีกคนช่วยดูแล
  • แสดงความรักให้เท่ากัน ไม่ให้ใครคนไหนรู้สึกมากกว่าหรือน้อยกว่ากัน

 

ที่มา : amarinbabyandkidsmyhoneybun.com

 

Writer Profile : OttChan

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save