fbpx

10 จุดเด่น ของระบบการศึกษาญี่ปุ่น ที่สร้างให้ประเทศนี้มีคุณภาพ

Writer : Mookky TCN
: 8 พฤษภาคม 2561

ถ้าพูดถึงชาวญี่ปุ่นเรามักจะนึกถึงความฉลาด สุภาพ และความใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ จนเกิดสงสัยว่าทำไมประเทศนี้ถึงได้ดูมีข้อดีเยอะจังนะ เราค้นพบคำตอบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากระบบการศึกษาของญี่ปุ่นที่เยี่ยมยอดนั่นเอง

1. เริ่มปีการศึกษาวันที่ 1 เมษายน

ซึ่งในขณะที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในโลกจะเริ่มต้นปีการศึกษาประมาณเดือนกันยายนหรือตุลาคม แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นการเรียนช่วงเดือนเมษายน ทำให้การเปิดเทอมมาความสวยงามของดอกของซากุระที่ออกดอกช่วงนั้นพอดี โดยในหนึ่งปีการศึกษาจะแบ่งออกเป็น 3 ภาคเรียน คือ ช่วงวันที่ 1 เม.ย. – 20 ก.ค., 1 ก.ย.-26 ธ.ค. และ 7 ม.ค.- 25 มี.ค. ซึ่งเด็กๆ จะมีวันหยุดเป็นเวลา 6 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน เเละวันพักอีก 2 สัปดาห์ ตอนช่วง ฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิ

2. ฝึกมารยาทก่อนความรู้

นักเรียนของประเทศญี่ปุ่นจะไม่ต้องเข้ารับการสอบวัดความรู้ จนกระทั่งเรียนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (อายุ 10 ปี) และจะเป็นเพียงแค่การทดสอบเล็กๆ เพราะชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่าการเรียน 3 ปีแรกในรั้วโรงเรียนเพื่อสร้างให้เด็กมีจิตใจที่ดี เมตตา เห็นอกเห็นใจ เคารพผู้อื่น ควบคุมตัวเอง และเน้นเรื่องการมีมารยาทที่ดี เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาเด็กๆ จากภายใน มากกว่าการตัดสินกันด้วยความรู้

3. มีอาหารกลางวันให้ทานในห้องเรียน

ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นถูกออกแบบมาให้เรามั่นใจได้ว่าเด็กๆ จะได้รับประทานอาหารที่ที่ดีต่อสุขภาพ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย ซึ่งอาหารในโรงเรียนประถมและมัธยมต้นของญี่ปุ่นถูกปรุงตามเมนูมาตรฐาน จากพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ นอกจากนั้นการรับประทานอาหารร่วมกับคุณครูยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วย

4. การฝึกอบรมหลังเลิกเรียนได้รับความนิยมมากๆ

นักเรียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเข้าคลาสเรียนเล็กๆ แบบส่วนตัวหลังเลิกเรียน ถ้าเราเห็นกลุ่มเด็กเล็กๆ ที่กลับมาหลักสูตรนอกเวลาช่วงค่ำก็ถือเป็นเรื่องปกติ โดยนักเรียนชาวญี่ปุ่นมีเวลาเรียนประมาณ 8 ชั่วโมง (ยังไม่รวมกับที่เรียนช่วงวันหยุดและวันหยุดสุดสัปดาห์) จึงไม่แปลกถ้าเด็กนักเรียนประเทศนี้จะไม่ค่อยซ้ำชั้นเลยในชั้นประถมศึกษาหรือชั้นมัธยมศึกษา

5. เรียนประดิษฐ์อักษรและบทกวีญี่ปุ่น

นอกเหนือจากการเรียนวิชาทั่วไปแล้ว เด็กๆ จะได้เรียนการเขียน Shodo คือ การประดิษฐ์ตัวอักษรของญี่ปุ่น ที่เป็นการจุ่มแปรงไม้ไผ่ด้วยหมึก แล้วใช้เขียนอักษรอียิปต์โบราณบนกระดาษข้าว และเรียน Haki ที่เป็นบทกวีในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ช่วยให้เด็กเคารพวัฒนธรรมของตัวเอง และได้เรียนรู้ประเพณีที่เก่าแก่กว่าศตวรรษของญี่ปุ่น

6. ส่วนใหญ่จะสวมชุดนักเรียน

นโยบายใส่ชุดนักเรียนมีขึ้นด้วยความตั้งใจในการขจัดอุปสรรคทางสังคมในหมู่นักเรียนด้วยกัน นอกจากนั้นการใส่ชุดนักเรียนยังทำให้เด็กๆ มีอารมณ์ร่วมในการตั้งใจเรียน และซึ่งเสริมความเป็นหมู่คณะในหมู่นักเรียนด้วย ซึ่งเกือบทุกโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในญี่ปุ่นจะให้เด็กใส่ชุดนักเรียน ซึ่งโรงเรียนบางแห่งก็มีชุดเครื่องแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น เป็นสไตล์ทหารสำหรับเด็กผู้ชาย และชุดกะลาสีสำหรับเด็กผู้หญิง

7. ไม่จ้างภารโรง

โรงเรียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่จ้างภารโรง เพราะนักเรียนจะต้องทำความสะอาดกันเอง ทั้งห้องเรียน โรงอาหาร ห้องน้ำ โดยการทำความสะอาดจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ จากนั้นก็มอบหมายงานหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี เพราะระบบการศึกษาของชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่าการที่ให้นักเรียนได้ทำความสะอาด ทำให้พวกเขาจะได้ทำงานเป็นทีมและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นอกจากนี้การที่ตัวเองได้พยายามกวาดล้างเช็ดถูทำความสะอาด ยังทำให้เด็กเกิดความเคารพทั้งในงานตัวเอง และงานของผู้อื่น

8. อัตราการเข้าเรียน 99.99%

เราหลายๆ คนคงเคยแกล้งป่วยกันบ้างสักครั้ง แต่เด็กนักเรียนญี่ปุ่นจะไม่โดเรียนหรือไม่มาสายเลย นอกจากนั้นเด็กนักเรียนกว่า 91% บอกว่าพวกเขาไม่เคยไม่สนใจ หรือทำเมินเฉยกับสิ่งที่อาจารย์สอน

9. ตัดสินอนาคตด้วยการทดสอบครั้งเดียว

ช่วงสุดท้ายของการเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นจะต้องเข้าสอบครั้งสำคัญเพื่อตัดสินอนาคต โดยนักเรียนสามารถเลือกวิทยาลัยที่ต้องการได้ ซึ่งมีอัตราการแข่งขันที่สูงมากๆและมีเพียง 76% ของผู้สำเร็จการศึกษาในโรงเรียนมัธยมญี่ปุ่นที่เข้าเรียนต่อหลังจบการศึกษา ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงเวลาของการเตรียมตัวสอบจะต้องมุ่งมั่นตั้งใจกันมากแค่ไหน

10. วันหยุดก่อนการทำงาน

หลังการสอบอย่างหนักหน่วงผ่านพ้นไปเด็กนักเรียนญี่ปุ่นมักจะพักสักพัก ซึ่งสำหรับประเทศนี้การเรียนมหาวิทยาลัยถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการพักผ่อน หรือเรียกันว่า “วันหยุดก่อนการทำงาน”

จาก 10 ข้อด้านบน ทำให้เราเห็นกันว่าระบบการศึกษาของญี่ปุ่นออกแบบมาเพื่อฝึกวินัย ความตั้งใจ เเละการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้เราเห็นกันว่าชาวญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งชาติที่มีวินัยมากๆ เลยไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเห็นว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน

ขอบคุณ – Brightside

Writer Profile : Mookky TCN

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save