คุณพ่อคุณแม่เคยเป็นไหมคะ เวลาที่ลูกน้อยไม่สบาย มีอาการไอ และมีเสมหะ เราเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกให้เอาเสมหะนั้นออกมา โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สั่งน้ำมูกก็ยังไม่ได้ ทำให้เสมหะที่ออกมานั้นยังค้างอยู่ ซึ่งวันนี้ Parentsone จึงอยากจะมาแนะนำวิธีที่เรียกว่า “การเคาะปอด” ที่จะช่วยให้ทางเดินหายใจของลูกน้อยได้ระบายเสมหะออกมา จะมีวิธียังไงบ้าง ไปดูกันเลย
เรามาทำความรู้จักกับการเคาะปอดกันก่อนว่าเป็นยังไง
การเคาะปอดก็คือ การใช้แรงสั่นจากลมที่กระทบผนังทรวงอกขณะเคาะ ไปทำให้เสมหะที่เกาะอยู่บริเวณต่างๆ ของทางเดินหายใจค่อยๆ หลุดออกและไหลออกมาได้ง่ายขึ้น เป็นเทคนิคการรักษาอย่างหนึ่ง ที่จะมีการจัดท่าทางของเด็กในท่าต่างๆ ให้เหมาะสมและทำการเคาะบริเวณทรวงอกนั้นเอง
เมื่อไหร่ที่ลูกควรจะต้องเคาะปอด
- ไอ มีเสมหะมาก หายใจเสียงดังครืดคราด
- มีเสมหะคั่งค้างในหลอดลมมาก
- เด็กที่ยังไม่สามารถระบายเสมหะได้ด้วยตนเอง
- เด็กที่ป่วย เช่น ป่วยเรื้อรังมีเสมหะคั่งค้าง ปวดหลังผ่าตัด ภาวะปอดแฟบเนื่องจากการอุดตันของเสมหะ เป็นต้น
วิธีการเคาะปอดให้ลูกน้อยที่ถูกต้อง
1.จัดท่าทางให้ลูก โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อให้เสมหะไหลออกจากหลอดลมเล้กส่วนปลายเข้าสู่หลอดลมใหญ่ตรงกลาง เมื่อเด็กไอเสมหะจะถูกขับออกมาได้มากขึ้น
2.ไม่ควรใช้ฝ่ามือในการเคาะ แต่ควรทำมือให้เป็นลักษณะคุ้มๆ นิ้วชิดกัน เรียกว่า “Cupped hand” เคาะบริเวณทรวงอกส่วนที่ต้องการระบายเสมหะนั้นเอง
3.ใช้ผ้ารองบนส่วนที่จะเคาะ
4.ควรใช้เวลาประมาณ 1 – 3 นาทีี หรือนานกว่านั้นถ้าหากมีเสมหะมากอยู่
5.ขณะเคาะหากเด็กไอ ควรใช้การสั่นสะเทือนช่วย โดยการใช้มือวางราบ พร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนและหัวไหล่ทำให้มือสั่น ในระหว่างที่กำลังไอหรือช่วงที่เด็กหายใจออก
6.ฝึกการไอ โดยการให้เด็กหายใจเข้าช้าๆ ให้เต็ม แล้วกลั้นไว้ครู่หนึ่ง และไอออกมาโดยเร็วแรง ซึ่งจะสามารถทำได้เฉพาะเด็กที่รู้เรื่อง และสามารถทำตามคำสั่งต่างๆ ของพ่อแม่ได้นะคะ
7.ควรทำการเคาะ ก่อนมื้ออาหารหรือนม หรืออย่างน้อย 2 ชั่วโมง หลังอาหาร เพื่อไม่ให้เด็กๆ สำลักและอาเจียน
7 ท่าเคาะปอดมีอะไรบ้าง
- ท่าที่ 1 : ปอดกลีบซ้ายบนส่วนยอด
โดยการจัดให้เด็กอยู่ในท่านั่งเอนตัวมาข้างหลังเล็กน้อย หรือประมาณ 30 องศา ให้คุณพ่อคุณแม่เคาะด้านบนเหนือทรวงอกด้านซ้าย ตรงระหว่างไหปลาร้าและกระดูกสะบัก
- ท่าที่ 2 : ปอดกลีบซ้ายบนด้านหลัง
โดยการจัดท่านั่งให้เด็กนั่งคร่อมตัวมาทางด้านหน้าเล็กน้อย ประมาณ 30 องศา บนแขนของผู้ปกครองหรือผู้ให้การบำบัด จากนั้นเคาะบริเวณด้านหลังตอนบนเหนือกระดูกสะบัก ระหว่างกระดูกต้นคอและหัวไหล่
- ท่าที่ 3 : ปอดกลีบซ้ายบนด้านหน้า
โดยการจัดท่านั่งให้เด็กนอนหงายราบ แล้วเคาะบริเวณเหนือราวนมต่ำจากกระดูกไห้ปลาร้าเล็กน้อย
- ท่าที่ 4 : ปอดกลีบซ้ายส่วนกลาง
โดยการจัดท่าให้ศีรษะต่ำลงประมาณ 15 องศา และตะแคงด้านซ้ายขึ้นประมาณ 1 ส่วน 4 จากแนวราบ และเคาะบริเวณราวนมด้านซ้าย
- ท่าที่ 5 : ปลอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านหน้า
โดยการจัดให้เด็กนอนตะแคงกึ่งคว่ำ โดยให้ศีรษะ 30 องศา แล้วประคองทรวงอกบริเวณชายโครงด้านซ้ายหงายขึ้นมาเล็กน้อย เคาะบริเวณเหนือชายโครงด้านข้างตอนหน้าต่ำจากราวนมลงมาเล็กน้อย
- ท่าที่ 6 : ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนชายปอดด้านข้าง
โดยการจัดศีรษะให้เด็กต่ำ หรือประมาณ 30 องศา และนอนตะแคงเกือบค่ำ จากนั้นเคาะบริเวณด้านข้างเหนือชายโครงระดับเดียวกับท่าที่ 5 ใต้ต่อรักแร้ของเด็กนั้นเอง
- ท่าที่ 7 : ปอดกลีบซ้ายล่างส่วนหลัง
โดยการจัดศีรษะของเด็กให้ต่ำ ประมาณ 30 องศา และนอนคว่ำ จากนั้นเคาะบริเวณด้านหลังต่ำจากกระดูกสะบักลงมาในระดับเดียวกับชายโครงด้านหน้า
ข้อแนะนำในการเคาะปอดในลูกน้อย
- การเคาะปอดสามารถทำได้ทั้งในเด็กเล็ก และเด็กโตเลย
- ในการเคาะปอดแต่ละครั้ง ควรเคาะให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ใช้แรงพอดี ไม่เบาเกินไป และไม่แรงจนเกินไปนั้นเอง
- แนะนำให้ทำก่อนหรือหลังอาหาร อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรเคาะปอดหลังรับประทานอาหารทันที
- เมื่อไหร่ที่เด็กเร่ิมร้องไห้ งอแง มากกว่าปกติ ควรหยุดการเคาะปอดทันที
- หากยังไม่เชี่ยวชาญ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือนักบำบัด ก่อนการเคาะให้เด็ก
- หากเด็กมีอาการหอบให้หยุดทันที จะสังเกตได้จาก อาการเหนื่อยมากขึ้น ริมฝีปากซีดคล้ำ หายใจจมูกบาน ให้หยุดการเคาะปอด
- หากเด็กมีอาการหรือโรคเกี่ยวกับหัวใจ กระดูก หลอดเลือด ปอดบวมน้ำ ห้ามทำเด็กขาด
- นอกจากการเคาะปอดแล้ว พ่อแม่อาจจะใช้วิธีอื่นช่วยได้ เช่น การดื่มน้ำอุ่น หรือ ให้ยาแก้ไอ ละลายเสมหะ หากมีอาการไอร่วมด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : Gedgoodilife, Amarinbabyandkids