fbpx

พ่อแม่ยุคใหม่ ดูแลลูกบนโลกออนไลน์ยังไงให้ถูกต้อง!

Writer : Jicko
: 26 ตุลาคม 2564

บนโลกออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทาง ที่ให้ทั้งความรู้ ความบันเทิง ข้อดีและไม่ดี ซึ่งในวัยผู้ใหญ่อย่างเราๆ การแยกแยะสิ่งถูกผิดก็คงจะไม่ได้มีปัญหา แต่สำหรับเด็กๆ แล้วพ่อแม่อย่างเราไม่ควรปล่อยให้พวกเขาใช้งานบนโลกออนไลน์เพียงลำพังด้วย แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์ล่ะ วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ มาบอกต่อกันค่ะ ไปดูกันเลย

อายุเท่าไหร่ เล่นอะไรได้บ้างนะ

  • Facebook : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 4+
  • YouTube : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 17+
  • Twitter : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 4+
  • Flickr : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 12+
  • Google : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 17+
  • Instagram : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 12+
  • Pinterest : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 12+
  • Linkedln : อายุ 14 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 4+
  • Skype : อายุ 18 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 4+
  • SnapChat : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 12+
  • Tumblr : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 17+
  • WeChat : อายุ 13 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 4+
  • WhatsApp : อายุ 16 ปีขึ้นไป / คะแนนแอปพลิเคชัน 12+
เงื่อนไขคะแนนของแต่ละแอปพลิเคชัน
  • 4+ คือ ไม่มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในแอปพลิเคชัน
  • 9+ คือ อาจมีเนื้อหาที่รุนแรงแต่พบไม่บ่อยนัก มีเนื้อหาชี้นำหรือแนวสยองขวัญ
  • 12+ คือ อาจมีภาษาที่รุนแรง เนื้อหาที่อาจดูสมจริง มีการพนัน ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำ
  • 17+ คือ ต้องมีอายุ 17 ปี ถึงจะโหลดแอปพลิเคชันนี้ได้ เนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด

 

เคล็ดลับการใช้โซเชียลที่แม่ๆ ต้องรู้

  1. สอนลูกห้ามโพสต์เรื่องน่าอายให้คนอื่นเห็น เพราะทุกสิ่งที่โพสต์ทุกคนสามารถเห็นได้ ถึงแม้ว่าเราจะลบสิ่งที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์ไปแล้วก็ตาม เพราะมันจะอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างถาวร
  2. เตือนลูกให้ระวังเรื่องการแชร์ทุกสิ่งทุกอย่างที่มากเกินไป เพราะโลกโซเชียลมีเดีย มีไว้เพื่อเป็น “สังคมออนไลน์” เพราะมันเหมือนเป็นการแชร์เรื่องราวส่วนตัวออกไป ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องแชร์ทุกรายละเอียดอยู่ตลอดเวลา
  3. ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอย่างเหมาะสมให้เขา
  4. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโปรไฟล์ที่ใช้นั้นปลอดภัยหรือไม่ เพื่อบัญชีจะได้ไม่ถูกแฮ็ก ทางที่ดีควรตั้งระบบยืนยันตัวตนแบบ 2  ครั้ง หากทำได้

  1. ไม่เห็นหน้าใครไม่ได้หมายความว่าต้องไม่สุภาพ ควรสอนให้ลูกมีมารยาทบนโลกออนไลน์เสมอ
  2. สอนลูกไม่ระบายหรือบ่น โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงองค์กร การเมือง ศาสนา เพราะจำไว้เสมอว่ามีคนอื่นๆ มองเห็นสิ่งที่เราโพสต์และเขาสามารถตัดสินตัวตนของเราจากสิ่งที่เห็นได้
  3. ระมัดระวังเรื่องคำขอเป็นเพื่อนทางโซเชียล ให้แน่ใจเสมอว่ารู้จักคนนั้นจริงๆ ก่อนกดรับเพื่อน
  4. ไม่เปิดเผยหรือระบุตำแหน่งของเรา

“T H I N K” (คิด) ก่อนโพสต์

T = Is it true ? คิดก่อนว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่

H = Is it helpful ? คิดก่อนว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ไหม

I = Is it inspiring ? คิดก่อนว่าสิ่งนั้นสร้างแรงบันดาลใจได้หรือเปล่า

N = Is it necessary ? คิดก่อนว่าสิ่งนั้นจำเป็นต้องโพสต์หรือแชร์หรือไม่

K = Is it Kind ? คิดก่อนว่าสิ่งนั้นดีหรือเปล่า

 

อ้างอิงจาก : thirtyhandmadedays

 

Writer Profile : Jicko

  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save