fbpx

ควรให้ลูกนอนวันละกี่ชั่วโมง?

Writer : nunzmoko
: 21 กรกฏาคม 2560

การนอนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในเด็กวัยแรกเกิด เพราะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว การให้เด็กนอนอย่างเพียงพอต่อความต้องการในแต่ละช่วงวัยจะส่งผลดีเนื่องจากในขณะที่เด็กหลับจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ออกมากระตุ้นให้ร่างกายเจริญเติบโต ใยประสาทจะเชื่อมโยงกับเซลล์ และเกิดการพัฒนาของสมอง เมื่อลูกพักผ่อนอย่างเต็มที่ ก็จะเป็นเด็กที่อารมณ์ดี เรียนรู้ได้มาก ซึ่งการนอนของเด็กในช่วงขวบปีแรก แบ่งได้เป็น 4 ช่วง ดังนี้ค่ะ

การนอนของเด็กวัย 0-3 เดือน

ระยะเวลาการนอนของทารกแรกเกิด ช่วงกลางวันและกลางคืนมักจะเฉลี่ยเท่าๆ กันและมีเวลาตื่นที่ไม่แน่นอนเพราะอยู่ในช่วงที่เด็กปรับตัวนอกท้องคุณแม่

  • นอนกลางวัน : 7-8 ชั่วโมง
  • นอนกลางคืน : 8-9 ชั่วโมง

ชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสมต่อวัน : 17 ชั่วโมง

การนอนของเด็กวัย 3-6 เดือน

การนอนของเด็กวัยนี้เป็นช่วงที่คุณแม่จะเหนื่อยน้อยกว่าเดิม เพราะลูกเริ่มหลับกลางวันน้อยลง และนอนกลางคืนมากขึ้น โดยเฉลี่ยจะนอนกลางวันประมาณ 5-6 ชั่วโมง

  • นอนกลางวัน : 5-6 ชั่วโมง
  • นอนกลางคืน : 9-12 ชั่วโมง

ชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสมต่อวัน : 16 ชั่วโมง

การนอนของเด็กวัย 6-9 เดือน

ช่วงนี้เด็กจะนอนตลอดคืนได้นานขึ้น ถ้าได้กินนมเต็มที่และงีบหลับช่วงสั้นๆ ประมาณครั้งละ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง วันละ 1-4 ครั้งในช่วงกลางวัน

  • นอนกลางวัน : 4-5 ชั่วโมง
  • นอนกลางคืน : 9-12 ชั่วโมง

ชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสมต่อวัน : 15 ชั่วโมง

การนอนของเด็กวัย 9-12 เดือน

ในวัยนี้บางคนสามารถนอนหลับยาวในเวลากลางคืน ในตอนกลางวัน ก็จะหลับเป็นช่วงสั้นๆ ประมาณวันละ 2 ครั้ง ระยะเวลาของการหลับสนิท ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนเมื่อลูกอายุ 1 ขวบขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ควรฝึกให้ลูกเข้านอนเป็นเวลาค่ะ

  • นอนกลางวัน : 2-3 ชั่วโมง
  • นอนกลางคืน : 9-12 ชั่วโมง

ชั่วโมงในการนอนที่เหมาะสมต่อวัน : 14 ชั่วโมง

ช่วงเวลาในการนอนของเด็กวัยแรกเกิด-1 ขวบ จะมีการนอนทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีระยะเวลาการตื่นและนอนไม่เหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่จึงควรหาวิธีให้ลูกได้นอนอย่างเพียงพอเพื่อให้ลูกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์และสมวัยค่ะ

ที่มา – babylove

Writer Profile : nunzmoko

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



จะรู้ได้ยังไงว่าลูกแพ้นมวัว?
ช่วงวัยของเด็ก
วิธีรับมือเมื่อลูกอาละวาด
เด็กอายุ 2-5 ขวบ
6 เสียงที่สามารถทำให้ลูกหยุดร้องไห้
เด็กวัยแรกเกิด
พาทัวร์โปรโมชั่นเด็ดงาน Baby&Kid Best Buy 1-4 มิ.ย.
เตรียมตัวเป็นแม่
ทำอย่างไรเมื่อลูกรัก “ติดจอ”
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save