fbpx

ใจเย็นนะแม่จ๋า! 6 ขั้นตอนควบคุมอารมณ์เมื่อโมโหลูก

Writer : Lalimay
: 16 มิถุนายน 2564

เป็นกันไหมคะ เวลาที่เราโมโหทีไร เส้นอารมณ์จะขาดผึงจนไม่สามารถควบคุมได้ เราเอาแต่บ่นและเสียงดังใส่ลูก เพราะความโกรธหรืออารมณ์โมโหเป็นเรื่องของมนุษย์ค่ะ ไม่ว่าใครก็มีอารมณ์โมโหได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่สำคัญคือเราจะจัดการกับความโมโหยังไงให้มีสติมากกว่า วันนี้เราจึงมีขั้นตอนการควบคุมอารมณ์เวลาที่โมโหลูกมาฝากค่ะ อาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าฝึกบ่อยๆ จะทำได้ดีขึ้นแน่นอนนะคะ

1.ตั้งสติและรับรู้อารมณ์ตัวเองว่า “กำลังโมโห”

อย่างแรกที่ต้องทำคือรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองค่ะ ว่าตอนนี้คุณพ่อคุณแม่กำลังรู้สึกอะไร เพราะอะไร เช่น รู้สึกว่ากำลังโมโห เพราะลูกไม่ยอมเก็บของเล่นสักทีทั้งที่บอกไปหลายครั้งแล้ว

2.บอกลูกด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่ต้องใส่อารมณ์ว่า “แม่กำลังโมโหอยู่นะ”

พอเรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองแล้ว ก็แนะนำให้พูดกับลูกตรงๆ ค่ะว่าเรากำลังรู้สึกอะไร เพราะอะไร แต่ต้องพูดด้วยน้ำเสียงสงบและห้ามใส่อารมณ์โดยเด็ดขาดนะคะ เช่น “ตอนนี้แม่กำลังโมโหหนูอยู่นะคะ ที่แม่บอกให้เก็บของเล่นหลายครั้งแล้ว แต่หนูไม่ยอมทำตาม”

3.บอกลูกว่าเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันหลังจากที่แม่ใจเย็นลงแล้ว

จากนั้นให้บอกลูกว่าเดี๋ยวเราจะไปจัดการอารมณ์ของตัวเองก่อน แล้วจะมาคุยกับลูกหลังจากที่ใจเย็นลงแล้ว เช่น “เดี๋ยวแม่จะไปหายใจลึกๆ แป๊บนึง แล้วเรากลับมาคุยกันตอนที่แม่ใจเย็นลงแล้วนะคะ”

4.ใช้เวลากับตัวเองสักแป๊บเพื่อให้ใจเย็นขึ้น

พอบอกลูกเสร็จให้คุณพ่อคุณแม่ปลีกตัวมาจากลูกแล้วใช้เวลาอยู่กับตัวเองสักพักเพื่อให้ใจเย็นลงค่ะ อาจนับ 1-10 ช้าๆ หายใจเข้าออกลึกๆ หรือทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองใจเย็นลง เพราะจะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีสติและควบคุมตัวเองได้ดีกว่า

5. คิดเสมอว่าเวลาที่เราตะคอกลูก ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น

ให้เราคิดอยู่เสมอนะคะว่าเวลาที่เรากำลังอารมณ์ไม่ดี คำพูดของเราคือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดที่จะทำร้ายจิตใจของคนอื่นได้ โดยเฉพาะจิตใจของลูก ดังนั้นพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้ และอย่าตะคอกลูกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเพราะทั้งลูกและเราก็จะรู้สึกไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น

6. หลังจากที่ใจเย็นลงแล้ว “ค่อยคุยกับลูก”

เมื่อเราใช้เวลาจนเริ่มใจเย็นลง หัวค่อยๆ หายร้อนแล้วก็ค่อยไปคุยกับลูก คุยด้วยเหตุผล ทบทวนอารมณ์ที่เกิดขึ้น มานั่งสะท้อนอารมณ์กันแล้วคุยว่าลูกจะมีวิธีจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นยังไง เพื่อไม่ให้เกิดความโมโหแบบนี้ขึ้นอีก

อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูยากใช่ไหมคะ เพราะเมื่อถึงหน้างานจริงๆ หลายคนคงฟิวส์ขาด ไม่ได้นึกถึงขั้นตอนเหล่านี้แน่ๆ ถึงอาจจะยากแต่เชื่อว่าถ้าเราฝึกฝนเรื่อยๆ รู้จักจับความรู้สึกของตัวเองได้บ่อยๆ เมื่อนานไปเราก็จะรับมือกันสถานการณ์แบบนี้ได้ดีขึ้นแน่นอน

และที่สำคัญเมื่อเราทำเป็นตัวอย่างบ่อยเข้า ลูกก็จะสามารถรับมือกับอารมณ์โมโหของตัวเองได้เช่นกัน เพราะถ้าอยากสอนให้ลูกควบคุมอารมณ์ได้ พ่อแม่ต้องทำให้ได้ก่อนนะคะ

ข้อมูลอ้างอิงจาก

 

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ไม่เป็นไร
26 สิงหาคม 2563
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save