fbpx

"เลี้ยงลูกเชิงรุก" หลักจิตวิทยาที่สอนให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยความร่วมมือ ไม่ใช่บังคับให้ทำตาม

Writer : Mneeose
: 27 ธันวาคม 2562

เด็กๆ ย่อมทำผิดพลาดได้เสมอ ขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้ใหญ่มากกว่าว่าจะทำให้เขารู้สึกผิดในสิ่งที่พวกเขาทำผิด แล้วช่วยกันแก้ปัญหา หรือจะเอาความผิดนั้นกลายเป็นความผิดติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต

เราไปดูกันเลยว่า เมื่อลูกทำผิดเราควรทำอย่างไรต่อไปกับพวกเขาดี ด้วยหลักจิตวิทยา “การเลี้ยงลูกเชิงรุก” นั่นเอง

การเลี้ยงลูกเชิงรุก เป็นหลักจิตวิทยาของ Dr.Ross Greene นักจิตวิทยาเด็ก ชาวอเมริกัน ที่บอกถึงผลเสียของการลงโทษลูกแบบต่างๆ ทั้งที่จริงแล้วมีวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดอยู่

เขาได้สังเกตุพฤติกรรมของพ่อแม่ทุกคนว่า “ชอบควบคุมลูก” เพราะอยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

แต่พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องควบคุมลูก เพื่อให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป แต่ควรสร้างความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า นั่นคือ ฝ่ายผู้ปกครอง และฝ่ายลูกนั่นเอง

Dr.Ross Greene กล่าวว่า พ่อเเม่ควรรับฟังความคิดเห็น และความรู้สึกของลูก ใส่ใจต่อความกังวลของลูก และช่วยให้ลูกเรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งดี และร้ายของพ่อเเม่ รวมทั้งคุณค่าที่มีความสำคัญทางจิตใจที่พ่อเเม่ยึดมั่น

Dr.Ross Greene นักจิตวิทยา กล่าวว่าพ่อเเม่ลงโทษลูกด้วยการขอเวลานอก โดยให้ลูกไปนั่งคนเดียวเพื่อทบทวนสิ่งที่ทำไปนั้น เป็นผลของการกระทำที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้น

ในโรงเรียน มีการลงโทษด้วยการกักตัว ห้ามไปโรงเรียนชั่วคราว การไล่ออก และการตี การลงโทษแบบนี้ล้วนเป็นการใช้อำนาจ ซึ่ง Dr.Ross Greene เชื่อว่าไม่ช่วยเเก้ปัญหาพฤติกรรม เพราะทำให้เด็กๆ ไม่อยากคุยกับพ่อเเม่หรือผู้ใหญ่

และที่สำคัญ คือ เด็กจะมองว่าพ่อเเม่ไม่รับฟังความคิดเห็น และไม่เข้าใจในตัวเขา ทำให้เกิดการทะเลาะกันในครอบครัว

” วิธีแก้ปัญหาพฤติกรรมเเบบเชิงรุกและร่วมมือกัน ” 

1. เข้าใจลูก และเห็นใจกัน

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยถามไถ่ชีวิตในโรงเรียนของลูกๆ โดยตลอด อัปเดตความเปลี่ยนแปลง และความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ ของลูกอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกกล้าที่จะพูด และเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาเจอมาที่โรงเรียนให้เราฟัง ไม่ปิดบังเมื่อโตขึ้นนั่นเอง

การที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อสร้างความเข้าใจในปัญหาว่า อะไรที่ทำให้ลูกไม่เชื่อฟัง หรือทำตัวไม่ดี?

2. ผู้ปกครองต้องแสดงการรับรู้ และใส่ใจเรื่องต่างๆ ของลูกให้มากขึ้น

เมื่อเรารับรู้ปัญหาของเด็กๆ แล้ว ก็ควรที่จะสนใจ ไม่ใช่ปล่อยผ่านไป เพราะคิดว่าเป็นเเค่เรื่องเล็กๆ ที่เด็กทะเลาะกัน

เริ่มที่ง่ายๆ โดยการชวนลูกพูดคุย ถามไถ่ชีวิตของลูกไปเรื่อยๆ ค่ะ

3. ให้ลูกช่วยหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน

เมื่อเรารับรู้ถึงปัญหาต่างๆ ของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่จึงควรช่วยลูกแก้ปัญหา โดยให้ลูกช่วยเสนอวิธีแก้ปัญหาร่วมกันนั่นเองค่ะ

Dr.Ross Greene ยังกล่าวอีกว่า “ผู้ใหญ่ควรหลีกเลี่ยงการแก้ปัญหาทันทีทันควัน ขณะที่ทั้งผู้ใหญ่เเละเด็กต่างยังมีอารมณ์ยังร้อนด้วยกันทั้งคู่” เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ยังทำให้ทะเลาะกันเพิ่มขึ้นไปอีกนั่นเองค่ะ

การเลี้ยงลูกเชิงรุก จะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และการรู้จักควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี

Dr.Ross Greene กล่าวว่าการเลี้ยงลูกแบบเชิงรุก จะทำให้ลูกมีความสามารถหลายๆ อย่าง เช่น การเข้าใจเเละเห็นใจผู้อื่น การเเสดงความชื่นชมต่อพฤติกรรมของคนอื่นที่มีผลต่อผู้อื่น การหาทางออกเเก่ความคิดเห็นที่เเตกต่างโดยไม่สร้างความขัดเเย้ง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และความซื่อสัตย์

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกของตัวเองเป็น เราจึงต้องคอยสอนลูกๆ ปลูกฝังเรื่องต่างๆ เหล่านี้ตั้งแต่วัยเด็กนั่นเองค่ะ ซึ่งจะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลแหล่งอ้างอิง : www.voathai.com

Writer Profile : Mneeose

💙💙💙

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



19 กุมภาพันธ์ 2564
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save