fbpx

NEWS: แม่ท้องต้องระวัง รีบฝากครรภ์แต่เนิ่นๆ ป้องกันโรคซิฟิลิสติดลูก

Writer : Lalimay
: 18 สิงหาคม 2564

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญคือ โรคซิฟิลิส( Syphilis) ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเทรโพนีมา พัลลิดัม (Treponema pallidum) เชื้อนี้สามารถถ่ายทอดจากแม่ไปสู่ทารกได้ผ่านทางรก  ซึ่งทารกในครรภ์มีโอกาสได้รับเชื้อจากแม่ที่เป็นโรคนี้สูงถึงร้อยละ 60-80 และร้อยละ 40 ของทารกที่ได้รับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตในครรภ์หรือทำให้เกิดการแท้งลูกได้

นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หญิงตั้งครรภ์ทุกคน ควรรีบไปฝากครรภ์ที่สถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้านทุกแห่ง ตั้งแต่เมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์หรือควรฝากก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่อวัยวะสำคัญของทารกในครรภ์จะสร้างครบสมบูรณ์ทั้งหมด 

โดยจะมีการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส 2 ครั้งฟรี คือ เมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก และระหว่างอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์   หากพบว่าติดเชื้อจะได้รับการรักษาทันที ทั้งหญิงตั้งครรภ์และสามีด้วย เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ  ซึ่งขณะนี้โรงพยาบาลทุกแห่งมียารักษาให้หายขาดและไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

แต่หากไม่รักษาก็อาจทำให้เด็กติดโรคซิฟิลิสจากแม่ และกลายเป็นโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด จะมีอาการแตกต่างกัน ในช่วงแรกเกิด-2 ปี จะมีผื่นลอกที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ผิวซีด เหลือง ตับม้ามโต กระดูกผิดปกติ บางรายอาจพบการติดเชื้อในระบบประสาทร่วมด้วย 

โดยอาการนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากพาเด็กเข้ารับการดูแลรักษาโดยเร็วและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าปล่อยไว้เมื่อเด็กโตขึ้นอาจมีปัญหาหูหนวก จมูกยุบ เพดานปากโหว่ รูปหน้าผิดปกติ เนื่องจากมีความผิดปกติของกระดูก

แพทย์หญิงชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์  ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวว่า จากรายงานทางระบาดวิทยา พบว่าอัตราป่วยโรคซิฟิลิสในประเทศไทยในรอบ 6 ปีมานี้  เพิ่มสูงขึ้นเกือบ  4 เท่าตัว โดยใน กลุ่มประชาชนทั่วไปพบอัตราป่วย ในปี 2557 จาก 4.4 เพิ่มเป็น 16.4 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2563 และพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 15-24 ปี อัตราป่วย 50.4 ต่อประชากรแสนคน ส่วนในกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด แนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในปี 2557 มีอัตราป่วยจาก 11.8 เพิ่มเป็น 45.5 ต่อจำนวนเด็กเกิดแสนคนในปี 2562

ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันจึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หญิงตั้งครรภ์และคู่สมรสให้มาฝากครรภ์โดยเร็ว และรับการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสและโรคอื่นๆ ที่จำเป็น เช่น เอชไอวี โรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว

อ้างอิงจาก

https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=20048&deptcode=brc

 

Writer Profile : Lalimay

  • Blog :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save