fbpx

ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน พ่อแม่เข้าใจหนูด้วย

Writer : Taloei
: 10 พฤษภาคม 2565

ช่วงนี้ใกล้เวลาเปิดเทอมกันแล้ว เด็กๆ พร้อมทีจะไปเรียนกันหรือป่าว แต่ถ้าเด็กเริ่มมีอาการที่ผิดปกตินั้นมันคืออาการอะไรกันแน่ แน่นอนว่าบางทียิ่งเด็กอนุบาลหรือเด็กเล็กอาจจะมีอาการที่รู้สึกงอแงไม่อยากไปโรงเรียน ติดคุณพ่อคุณแม่ อาจมีภาวะของการไม่ยอมไปโรงเรียน แล้วภาวะนี้มันคืออะไร อาการเป็นอย่างไร แล้วมีวิธีการจัดการอย่างไรมาดูกัน

 

ภาวะไม่ยอมไปโรงเรียน

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจาก เด็กอนุบาลหรือวัยรุ่นไม่เต็มใจไปโรงเรียน เพราะเกิดการกังวลภายในจิตใจ และแสดงออกทางพฤติกกรมที่ชัดเจน เช่น การร้องไห้โวยวาย การโกหกไม่สบายเพื่อปฏิเสธการไปโรงเรียน 

 

ช่วงอายุที่เกิดขึ้น

พบมากที่สุด  ขวบ 5 – 6 ขวบ หรือเข้าอนุบาล และช่วง 10 – 11 ปี แต่ทั้งนี้ภาวะการไม่ยอมไปโรงเรียนสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงเข้าอนุบาลจนไปถึงมัธยม

 

สาเหตุ 

  • เกิดภาวะกังวลใจจากการไปโรงเรียน 
  • การต้องการแยกออกจากพ่อแม่ (Separation Anxiety) 
  • การออกจากสถานที่ที่คุ้นเคย การไปเจอสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง

 

ลักษณะอาการ

ด้านพฤติกรรม มีการแสดงออกว่าไม่อยากไปโรงเรียน อย่างการพูดงอแง ร้องไห้ ทำตัวอืดอาด ไม่อยากไปโรงเรียน ไปจนถึงการแสดงออกที่รุนแรง ต่อต้าน ไม่ยอมลุกออกจากเตียง ทำร้ายร่างกายผู้ปกครอง หรือไปโรงเรียนได้แต่ไม่สามารถอยู่ได้ครบทั้งวัน

ด้านความคิด มีความคิดวิตกกังวล ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงกลางคืนก่อนวันที่จะไปเรียน ไปจนถึงตอนเช้าที่จะไปโรงเรียน มีการแสดงออกเป็นคำพูดว่าไม่อยากไปโรงเรียนในตอนเช้า บางรายคิดวิตกกังวลจนถึงขั้นนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย

ด้านสรีวิทยา อาการทางกาย เช่น การคลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดหัว วิงเวียน เหงื่ออกมาก ท้องเสีย อาการเหล่านี้มักเกิดช่วงที่ต้องไปโรงเรียนในตอนเช้า เมื่อหยุดอยู่บ้านก็จะมีอาการที่ดีขึ้น

 

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ

  • คอยสังเกตุอาการ พฤติกรรมของเด็ก
  • พูดคุยให้กับลูกเพื่อหาสาเหตุ
  • หาแรงจูงใจในการให้ไปโรงเรียน
  • การพาไปเยี่ยมชมโรงเรียนให้คุ้นเคย
  • การชวนคุยเรื่องโรงเรียนบ่อยๆ 
  • ขอความช่วยเหลือจากทางคุณครู
  • หากมีอาการที่รุนแรงในทางพฤติกรรมหรืออื่นๆ ควรไปปรึกษาแพทย์ 

 

การดูแลรักษา

ซึ่งสาเหตุสามารถมีได้หลายปัจจัย ดังนั้นการรักษาคือการเน้นแก้ไข้ที่สาเหตุ ร่วมกับวิธีการอื่นๆ อย่างบำบัดพฤติกรรม และการรู้คิด การพูดคุย รวมไปถึงการบำบัดรักษาโรคทางจิตเวช หากมีอาการที่รุนแรงมากขึ้นในการแสดงออกทางพฤติกรรมหรืออาการ ซึ่งในภาวะการไม่ยอมไปโรคเรียนอาจมีโรคทางจิตเวชที่อื่นแทรกซ้อนและพบร่วมได้ เช่น  โรควิตกกังวลเกี่ยวกับการแยกจาก (separation anxiety disorder)  โรคกลัวสังคม (social phobia)

ที่มา มหาวิทยาลัยมหิดล โรงพยาบาลพญาไท

Writer Profile : Taloei

  • Blog :
  • Social Media :

  • Official Sponsors :
  • Samitivej Hospital

Generic placeholder image

บทความที่เกี่ยวข้อง



ลูกชอบพูดแทรก จะแก้อย่างไร
ชีวิตครอบครัว
Update
Banner Banner
เมื่อคุณแม่หลายท่านเป็นกังวลกับเรื่องพัฒนาการสมองและภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันของลูกน้อยที่ผ่าคลอดกับเด็กคลอดธรรมชาติ กลัวว่าลูกน้อยจะมีโอกาสป่วยง่ายหรือมีพัฒนาการสมองช้ากว่าเพื่อนๆ ทำให้คุณแม่ต้องใส่ใจกับการดูแลลูกน้อยมากยิ่งขึ้น เสมือนการเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยเติบโตพร้อมปรับตัวกับโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง วันนี้เราจะพาไปดูเคล็ดไม่ลับ ฉบับการดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อยและภูมิคุ้มกันของเด็กผ่าคลอดที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ลูกผ่าคลอดต้องการได้ ไปดูกันเลย! เกราะคุ้มกันแรกที่หายไปของเด็กผ่าคลอด เด็กผ่าคลอดมักจะป่วยง่ายหรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติ เพราะสูญเสียโอกาสในการได้รับเชื้อจุลินทรีย์สุขภาพ ผ่านทางบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ ทำให้เกราะคุ้มกันแรกเกิดของลูกน้อยผ่าคลอดหายไปส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางระบบภูมิคุ้มกันตั้งต้นช้ากว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตั้งต้น โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร คุณแม่จึงต้องเร่งเสริมสร้างเกราะคุ้มกันให้ลูกน้อยมีพื้นฐานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของเรามีมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น เสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของเด็กผ่าคลอดด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” คือสารอาหารที่พบมากในนมแม่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานสมองของลูกน้อยมีประสิทธิภาพ สร้างสมองไวกว่าเดิม เชื่อมต่อเซลล์สมอง 1 แสนล้านเซล์ อัพเกรดเด็กเจนใหม่ โดยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และเพิ่มความเร็วการส่งสัญญาณประสาทแบบก้าวกระโดด “สฟิงโกไมอีลิน” คือ ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิด พบได้มากในน้ำนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารกว่า 200 ชนิด ซึ่ง “สฟิงโกไมอีลิน”เป็นองค์ประกอบในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้ส่งสัญญาณประสาทได้ไวและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจดจำเร็ว เรียนรู้ไว สมองของเด็กผ่าคลอดและเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ มีการสร้างไมอีลินในสมองแตกต่างกัน โดยเฉพาะที่ส่วนของสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา คุณแม่จึงควรคำนึงถึงจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง ของเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ ด้วยการเตรียมสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” และ บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) จากนมแม่ให้ลูกน้อยยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดี เพราะพัฒนาการสมองที่ดีในวัยเด็ก ถือเป็นรากฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน หรือการเรียนรู้ภาษาสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากพัฒนาการของสมองเพราะสมองคือจุดเริ่มต้น ของทุกพัฒนาการของลูกน้อย เตรียมพร้อมเด็กผ่าคลอดให้มีสมองไวและภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นได้ คุณแม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ลูกน้อยผ่าคลอดต้องการได้ด้วยสารอาหารที่สำคัญอย่างเช่น “แอลฟาแล็ค สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการส่งสัญญาณประสาทได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโพรไบโอติก บิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (B. lactis) ตัวช่วยที่ทำให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันสุขภาพที่ดี ดังนั้นคุณแม่ก็วางใจได้ หากเราเสริมสร้าง…
3 กันยายน 2568

anal porno zdarma culi nudi al mare free sex videos antalya escort

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save